"บิ๊กป้อม" ลั่นยึดกฎหมายถอดยศ "สันธนะ" ยันไม่มีการกลั่นแกล้ง "รอง ผบ.ตร." รับลูกกำลังพิจารณาตามกระบวนการ แย้มรอดูอีกไม่นาน สั่งตรวจพฤติการณ์ข่มขู่พยาน ระบุหากเข้าข่ายขอศาลถอนประกันแน่ "จักรทิพย์" แจงเรียกพ่อสอบให้ที่พักพิงตามขั้นตอน กม. "เมียรองฯ ต่อ" ร่ำไห้ร้อง กสม.ช่วย หวั่นถูกตร.ยัดข้อหาไม่เป็นธรรม โวมีหน่วยงานในต่างประเทศสนใจคดีนี้แล้ว
เมื่อวันที่ 16 พ.ค. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (รมว.กลาโหม) กล่าวถึงกรณีการดำเนินการทางกฎหมายกับ พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตรองผู้กำกับการตำรวจสันติบาล ในฐานะประธานที่ปรึกษา บริษัท พัฒนาตลาดใหม่ดอนเมือง จำกัด ที่ยื่นหนังสือฟ้องร้องตำรวจระดับนายพล 3 นายว่า ก็ว่ากันไปตามเรื่อง พ.ต.ท.สันธนะทำอะไรไป เจ้าหน้าที่ตำรวจเขาก็หาพยานหลักฐานในการแจ้งความดำเนินคดี ซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์นายพลทั้ง 3 นาย ถือเป็นเรื่องส่วนตัว
"ยืนยันไม่มีการกลั่นแกล้ง พ.ต.ท.สันธนะต้องรู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไร ส่วนการถอดยศ หากพบ พ.ต.ท.สันธนะกระทำความผิดตามเงื่อนไขทางวินัย 7 ข้อ จำเป็นต้องถอดยศออก ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่จะต้องไปตรวจสอบก่อนว่ากระทำผิดจริงหรือไม่" รองนายกฯ กล่าว
พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีผู้มีอิทธิพลเรียกรับเงินผู้ค้าในตลาดใหม่ดอนเมือง กล่าวถึงการถอดยศ พ.ต.ท.สันธนะว่า กระบวนการพิจารณาถอดยศ พ.ต.ท.สันธนะเริ่มแล้ว โดยทำควบคู่กับคดีอาญา ซึ่งสามารถทำได้โดยไม่ต้องรอคดีสิ้นสุด บอกได้แค่นี้ ให้รอดูอีกไม่นาน
"ขณะนี้การดำเนินคดีเพิ่มเติมกับ พ.ต.ท.สันธนะอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน ถ้าพยานหลักฐานครบ พบมีการกระทำความผิดอื่น ก็จะมีการแจ้งข้อหาเพิ่ม แต่ต้องรอดูผลนิดหนึ่ง กำลังเร่งรัด ต้องดูในหลายๆส่วน ทั้งพยานบุคคล พยานเอกสารและพยานแวดล้อมอย่างอื่นประกอบด้วย ต้องดูทุกอย่างให้ครบถ้วน ถ้าหลักฐานเพียงพอและครบองค์ประกอบ ก็ดำเนินการตามกฎหมาย" พล.ต.อ.รุ่งโรจน์กล่าว
ถามว่า การออกมาเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.สันธนะ จะเข้าข่ายการขอถอนประกันตัวชั่วคราวหรือไม่ รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า ถ้าผิดเงื่อนไขที่ศาลวางไว้ ทางเจ้าหน้าที่ก็จะต้องยื่นคำร้องต่อศาล ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเฝ้าติดตามดูอย่างใกล้ชิด รวมทั้งที่ พ.ต.ท สันธนะบอกจะแจ้งความกลับพ่อค้าแม่ค้าจำนวน 8 ราย ก็อยู่ระหว่างการตรวจสอบในรายละเอียด แต่ถ้อยคำที่ใช้เป็นลักษณะการใช้สิทธิ์ในการฟ้องต่อศาล เราต้องดูอย่างอื่นประกอบด้วย เฉพาะคำพูดอย่างเดียวไม่พอ ส่วนพยานในคดีนี้ ก็มีบ้างที่แจ้งมายังเจ้าหน้าที่ว่ามีคนคอยติดตามประมาณ 3-4 ราย เราต้องตรวจสอบก่อนว่าเกิดจากอะไร แต่ถ้าเป็นข้อเท็จจริง ก็ต้องดูว่าเป็นการคุกคามหรือไม่
หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีผู้มีอิทธิพลเรียกรับเงินผู้ค้าในตลาดใหม่ดอนเมือง กล่าวว่า สำนวนการสอบสวนในคดีนี้เป็นที่น่าพอใจ เริ่มตั้งแต่ศาลให้ออกหมายจับ แสดงว่าเรามีพยานหลักฐาน ทำให้ศาลใช้ดุลยพินิจในการออกหมายจับมีพยานหลักฐานเพียงพอ การออกหมายต้องรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด พอสมควรนำสู่ศาล
สอบ'พ่อสันธนะ'ตามกม.
"เฮียเซ้ง เจ้าของตลาด ก็เข้าให้การกับพนักงานสอบสวนแล้ว ถ้าพยานหลักฐานถึงใคร ก็ดำเนินคดีทั้งหมด รวมทั้งเส้นทางการเงิน ทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ก็จะเข้ามาร่วมตรวจสอบด้วย เพราะข้อหากรรโชกทรัพย์เข้ามูลฐานความผิดฟอกเงินอยู่แล้ว ส่วนกระแสว่ามีนายทหารอากาศเป็นเจ้าของสถานที่ที่แท้จริงนั้น ขอยืนยันว่าไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง" หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีผู้มีอิทธิพลเรียกรับเงินผู้ค้าในตลาดใหม่ดอนเมืองกล่าว
ถามถึงกรณีพนักงานสอบสวน สน.โชคชัย ออกหมายเรียก พ.ต.อ.(พิเศษ) สมชาย ประยูรรัตน์ บิดา พ.ต.ท.สันธนะ มาสอบปากคำเรื่องการให้ที่พักพิงผู้ต้องหา พล.ต.อ.รุ่งโรจน์กล่าวว่า เป็นเรื่องของ สน.โชคชัย ไม่เกี่ยวกับพนักงานสอบสวนคดีกรรโชกทรัพย์ เพราะการให้ที่พักพิงเป็นเรื่องของสถานีตำรวจในพื้นที่ แต่อาจจะไม่ผิดก็ได้ เพราะเป็นการสอบสวนธรรมดา เหมือนกับการไปจับผู้ต้องหาคนอื่นได้ที่บ้านคน ก็ต้องมีการสอบเจ้าบ้านว่ารู้หรือไม่ ถ้าไม่รู้ก็จบ การออกหมายเรียกเป็นเพียงการตั้งต้น ถ้าสอบแล้วไม่ผิดก็จบ ไม่มีอะไร ถ้าไม่ผิดก็ไม่มีการแจ้งข้อหา ตำรวจจะไปแจ้งข้อหาใครโดยไม่มีความผิดไม่ได้อยู่แล้ว
"ตำรวจทำทุกอย่างไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เมื่อศาลออกหมายแล้วตำรวจก็มีหน้าที่ในการติดตามจับกุมบุคคลตามหมาย ส่วนการใช้กำลังหรือยุทธวิธีใช้ไปตามความเหมาะสม ไม่มีใครทำอะไรเกินเลย ถ้ามีความจำเป็นก็ต้องมีการใช้กำลังบ้างตามความเหมาะสม แต่ในวันนั้นไม่เกินเลย อยู่ในกรอบของกฎหมาย ส่วนผู้ต้องหาที่ทางศาลออกหมายจับ ทั้งหมด 11 คนในข้อหากรรโชกนั้น ทราบว่าทุกคนได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนทั้งหมดแล้ว" รอง ผบ.ตร.กล่าว
ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงการเรียกบิดา พ.ต.ท.สันธนะมาให้การปากคำว่า จริงๆ แล้ว สน.โชคชัยก็ทำในส่วนของเขาตามกระบวนการขั้นตอนที่ถูกต้อง แต่อาจไปเสียความรู้สึก เพราะบิดา พ.ต.ท.สันธนะอายุมากแล้ว แต่จริงๆ เป็นเพียงการเรียกมาให้ถ้อยคำในการให้ที่พักพิงหรือไม่ อย่างไร ถ้าไม่มีเจตนา ก็สิ้นกระแสความสงสัย เท่านั้นเอง
"ไม่ได้มีอะไร ไม่ต้องมีการตั้งข้อหาอะไร จริงๆ แล้ว บิดาท่านเป็นอดีตตำรวจ มีความรู้เรื่องกฎหมาย ท่านอาจจะแนะนำในทางที่เป็นประโยชน์ก็ได้ ผมเชื่ออย่างนั้น การทำงานของเจ้าหน้าที่ สน.โชคชัย ไม่มีเจตนาอะไรด้วย ท่านอายุมาก อาจจะขัดตรงนั้น กระแสสังคมอาจมองว่าเจ้าหน้าที่ทำเกินไป ผมก็บอกแล้วพนักงานสอบสวนก็ทำตามหน้าที่ของเขา มาให้ถ้อยคำไม่มีเจตนาก็จบ" พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าว
ถามว่า ทำไม ผบ.ตร.จึงกลายเป็น 1 ใน 3 นายพล ที่ถูก พ.ต.ท.สันธนะจะดำเนินการตามกระบวนการกฎหมาย พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า โดยตำแหน่ง ผบ.ตร. เมื่อถูกฟ้องก็เป็นผู้ต้องหาที่ 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติอันดับ 1 ที่ พ.ต.ท.สันธนะมุ่งตรงมาที่ตน ก็ไม่เป็นไร ต้องอดทน
ซักว่าหลังจากที่ พ.ต.ท.สันธนะถูกจับและได้ประกันตัว มีการยกหูโทรศัพท์หากันหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า ไม่ มือถือตนก็เปิดตลอด
วันเดียวกัน นางพรรณี ประยูรรัตน์ ภรรยาของพ.ต.ท.สันธนะ ผู้ต้องหาคดีกรรโชกทรัพย์ผู้ค้าตลาดใหม่ดอนเมือง เดินทางมาที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผ่านนางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการ กสม. ขอความเป็นธรรมกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าบุกค้นที่คอนโดฯ ย่านพหลโยธิน บ้านพักย่านรามอินทรา และจับกุม พ.ต.ท.สันธนะ
นางพรรณีกล่าวว่า หลังจากการตรวจค้นคอนโดฯ ที่ผ่านมา ส่งผลให้ตนเองไม่สามารถเข้าไปพักได้อีก เนื่องจากเกิดผลกระทบหลายอย่าง โดยมีการดักฟังโทรศัพท์ของตนเอง ติดตามคนในครอบครัว และเจ้าหน้าที่ได้นำบัญชีธนาคารของตนและครอบครัวไป ทำให้เกรงจะมีการยัดคดีอะไรให้อีกหรือไม่ เพราะเวลานี้มีการแจ้งข้อกล่าวพา พ.ต.ท.สันธนะเพิ่มขึ้นรวม 45 ข้อหา ผู้ต้องหาเพิ่มเป็น 11 คน แต่นับแล้วอย่างไรก็ไม่ครบ จึงเกรงว่าในจำนวนนั้นมีตนรวมอยู่ด้วย ถือว่าเป็นการกลั่นแกล้งกัน
ร้อง'กสม.'ผวายัดข้อหา
ภรรยา พ.ต.ท.สันธนะกล่าวว่า ที่ต้องมายื่นร้องต่อกรรมการสิทธิฯ เพราะไม่มีที่พึ่ง อยากให้ กสม.คุ้มครองและเป็นการแจ้งให้หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบเรื่องสิทธิมนุษยชนได้เข้ามารับรู้เรื่องราว ก่อนที่บางอย่างมันจะเกิดขึ้นแล้วแรงไปมากกว่านี้ เพราะก็กังวลว่าจะเกิดอันตรายกับสามีและครอบครัวไปมากกว่านี้
"มีหลายเรื่องที่ไม่สบายใจ แต่พูดตรงนี้ไม่ได้ ไม่เข้าใจทำไมเรื่องต่างๆ ต้องเกิดขึ้นกับดิฉันและครอบครัว การที่ตำรวจปฏิบัติเช่นนี้กับครอบครัวดิฉัน ถามว่าคุณก็จะปฏิบัติแบบนี้กับครอบครัวอื่นๆ ด้วยมาตรฐานเดียวกันใช่หรือไม่" ภรรยา พ.ต.ท.สันธนะกล่าว
ถามว่า จะฟ้องกลับตำรวจหรือไม่ ภรรยา พ.ต.ท.สันธนะกล่าวว่า ไม่คิดจะฟ้องกลับตำรวจ เพราะไม่ใช่คนนิยมความรุนแรง แต่อยากให้เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติตามกฎหมายอย่างยุติธรรม เท่าเทียมกันทุกครอบครัว ให้ครอบครัวตนเป็นครอบครัวสุดท้ายที่ถูกกระทำ และหลังจากนี้ก็จะพิจารณาว่าจะยื่นร้องต่อหน่วยงานใดอีกหรือไม่ แต่เบื้องต้นมีหน่วยงานในต่างประเทศติดต่อมาขอรายละเอียดแล้ว เรื่องนี้จึงไปถึงต่างประเทศแล้ว
ซักถึงข่าวตำรวจจะมีการถอดยศ พ.ต.ท.สันธนะ นางพรรณีกล่าวว่า ก็ได้ทราบข่าวจากญาติเมื่อช่วงเที่ยงว่ามีการถอดยศแล้ว ซึ่งตนไม่กล้าที่จะพูดเรื่องนี้ เพราะเรื่องยศเป็นของสูงที่ต้องได้รับพระราชทาน จึงไม่น่าเป็นเรื่องที่จะมาถอดกันง่ายๆ สำหรับกรณีที่เปิดเผย 3 นายพลที่สามีจะฟ้องกลับ ยืนยันไม่กลัวอิทธิพลและอำนาจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่นางอังคณามารับเรื่อง นางพรรณีก็โผเข้ากอดพร้อมร่ำไห้ และกล่าวว่า "เมื่อเช้าหนูหาที่พึ่งอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้จะพึ่งจะอะไรแล้ว"
นางอังคณากล่าวว่า เบื้องต้นจะตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจมีการกระทำเกินกรอบของกฎหมายและละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ ส่วนกรณีที่ตำรวจเข้าไปบุกจับ พ.ต.ท.สันธนะภายในคอนโดมิเนียมเมื่อวันที่ 12 พ.ค. จะเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ เบื้องต้นรับแจ้งจากตำรวจมีเหตุผลในการเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ พร้อมมีหมายค้นด้วย แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องดูว่าการเข้าจับกุมมีความรุนแรงหรือไม่ รวมถึง พ.ต.ท.สันธนะได้รับสิทธิ์ตามกฎหมายหรือไม่
ถามถึงเรื่องการออกหมายเรียกบิดา พ.ต.ท.สันธนะมาสอบปากคำ เป็นการกระทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ นางอังคณากล่าวว่า จะต้องตรวจสอบว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ เนื่องจากเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของบุคคล ไม่ใช่เรื่องของครอบครัว
ที่ศาลอาญา พ.ต.ท.ธรรมรักษ์ เรืองดิษฐ์ พนักงานสอบสวน คุมตัวนายชนะโชติ หรือตั๋ม สุขสุคนธ์ อายุ 40 ปี, นายวรรณชัย หรือแก้ว ใจเรือง อายุ 36 ปี, นายวันเพ็ญ ผิวดำดี อายุ 51 ปี, นายประนอม หรือนอม แก้วสวัสดิ์ อายุ 59 ปี, นายกฤษณะ หรือตั้ม หลำรอด อายุ 41 ปี, นายอดิศักดิ์ หรือโต้ง จันทร์ศรี อายุ 39 ปี, นายอนุชา หรือทอม วรเดช อายุ 53 ปี และนายอนุ หรือตุ๋ย สุขสุคนธ์ อายุ 41 ปี ทั้งหมดเป็นลูกน้อง พ.ต.ท.สันธนะ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา คดีขู่กรรโชกทรัพย์กลุ่มผู้ค้าในตลาด มายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 16-27 พ.ค.นี้ เนื่องจากต้องสอบปากคำพยานบุคคลอีก 50 ปาก และรอผลตรวจสอบลายนิ้วมือกับประวัติต้องโทษผู้ต้องหาจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร
คำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์สรุปว่า บริษัท พัฒนาตลาดใหม่ดอนเมือง จำกัด ได้เข้ามาบริหารจัดการในตลาดใหม่ดอนเมือง ต่อมาทางบริษัทได้แต่งตั้งให้ พ.ต.ท.สันธนะเป็นที่ปรึกษาตั้งแต่ต้นปี 2559 โดย พ.ต.ท.สันธนะร่วมกับพวกที่ตรวจสอบพบรวม 11 คน เป็นผู้ต้องหาคดีนี้ ได้ร่วมกันทำการเรียกเก็บเงินรายเดือนจากผู้ค้าขายเช่าพื้นที่ในตลาดใหม่ดอนเมือง ประมาณร้านละ 1,000-3,000 บาทต่อเดือน โดยผู้ต้องหากับพวกจะแบ่งหน้าที่กันทำ มาเก็บเงินในช่วงปลายเดือนของทุกเดือน พร้อมกันประมาณ 1-5 คน มีพฤติกรรมในลักษณะข่มขู่คุกคามผู้ค้าขาย จนทำให้เกิดความกลัวอันตรายหากไม่ยอมจ่ายเงินดังกล่าว ทำให้ผู้ค้าขายจำยอมจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้กับกลุ่มผู้ต้องหา การสอบสวนขณะนี้มีผู้มาร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหารวม 9 คดี เหตุเกิดที่ตลาดใหม่ดอนเมือง แขวง-เขตดอนเมือง การกระทำของกลุ่มผู้ต้องหาเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 ประกอบมาตรา 83 ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้ขอคัดค้านการให้ประกันตัว เนื่องจากคดีมีการกระทำกันเป็นขบวนการ มีผู้เสียหายจำนวนมาก และทางการสืบสวนพบว่ากลุ่มผู้ต้องหามีพฤติกรรมข่มขู่ คุกคามผู้เสียหายและพยาน
ต่อมาญาติของผู้ต้องหาทั้ง 8 ราย ได้ยื่นคำร้องประกอบหลักทรัพย์เป็นเงินสดและโฉนดที่ดิน ขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาระหว่างฝากขัง ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 8 ราย โดยตีราคาประกันคนละ 300,000 บาท และไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใดๆ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |