ต้องยอมรับว่า ปัจจุบัน “facebook“ และบรรดาแอปฯ เครือญาติ อย่าง Instragram, Messenger ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนไทยไปแล้ว
ก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะผลสำรวจล่าสุดพบว่า คนไทยใช้งานอินเทอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนเฉลี่ยต่อวันสูงที่สุดในโลก และแน่นอนที่เห็นก้มหน้าก้มตา ไถจอมือถืออยู่ตลอดนั้น ก็คือการติดตามความเคลื่อนไหวของโลกโซเชียลฯ อยู่นั่นเอง เชื่อหรือไม่ว่า ปัจจุบันคนไทยกว่า 34 ล้านคนนั้นใช้งาน facebook ทุกวัน และในแต่ละเดือนก็มียอดผู้ใช้เฉลี่ยสูงถึง 51 ล้านคน ซึ่งเป็นแนวโน้มขาขึ้นมาโดยตลอด
โดยหากเทียบยอดการใช้งานของปีนี้ กับปี 2560 พบว่า คนไทยใช้งาน facebook เพิ่มถึง 11% เลยทีเดียว
และในเมื่อคนไทยมีความผูกพันต่อใช้งาน facebook รวมถึงแอปฯ ในเครืออย่างมากนี้เอง ทำให้ยักษ์ใหญ่ของวงการโซเชียลฯ รายนี้ ต้องแสดงออกต่อประเทศไทยว่า ให้ความสำคัญ ด้วยการประกาศตั้งสำนักงานตัวแทนขึ้นในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อ 3 ปีก่อน แต่ล่าสุด ในปี 2561 นี้ facebook ก็มีการเปิดตัวสำนักงานในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
โดยสำนักงานใหม่นี้ ก็แน่นอนได้เลือกทำเลธุรกิจที่สำคัญที่สุดของไทย อย่างย่านราชประสงค์ เป็นจุดแลนด์มาร์คในการขยายธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ ทาง facebook ก็ทำการเปิดบ้าน เชิญคณะสื่อเข้าไปเยี่ยมชมบ้านหลังใหม่อย่างเป็นทางการ ณ อาคารเกษร ทาวเวอร์
โดยการเยี่ยมชมในครั้งนี้ เจ้าบ้านอย่าง จอห์น แวกเนอร์ กรรมการผู้จัดการ Facebook ประเทศไทย ก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี โดยเอ็มดีรายนี้ถือว่ารู้จักประเทศไทยดีมาก เพราะสามารถพูดภาษาไทยได้ฉะฉาน ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษาเลยทีเดียว ด้วยความที่เข้ามาอยู่ประเทศไทยได้ 20 ปี ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน แถมเจ้าตัวยังชอบอาหารไทย และที่สำคัญ ยังมีภรรยาเป็นคนไทยอีกด้วย
แวกเนอร์เล่าว่า ตอนนี้ facebook ให้ความสำคัญกับตลาดประเทศไทยอย่างมาก เพราะด้วยจำนวนผู้ใช้ที่แอคทีฟในแพลตฟอร์มจำนวนมหาศาล แถมคนไทยยังเป็นผู้ที่สามารถใช้งาน facebook ได้อย่างสร้างสรรค์ ทำให้ทางบริษัทแม่ที่อเมริกาสั่งให้ขยายการลงทุนและเปิดสำนักงานอย่างเป็นทางการในไทย
เอ็มดีของ facebook ประเทศไทยกล่าวต่ออีกว่า ประเทศไทยเป็นเจ้าของ case study (กรณีศึกษา) ในเรื่องการใช้งาน facebook หลายด้าน ที่โดดเด่นก็คือ ในเรื่องการใช้ Facebook ในการค้าขาย เชื่อหรือไม่ว่า ฟีเจอร์ ร้านค้า และตลาดขายของ (Marketplace) นั้นได้ไอเดียมาจากประเทศไทย ถึงขนาดทีมพัฒนาจากแคลิฟอร์เนีย ต้องบินมาศึกษาการใช้งานของผู้ใช้ชาวไทยเลยทีเดียว หรือแม้กระทั่งเรื่องการไลฟ์สดขายของ ผ่านกรุ๊ปของแม่ค้าคนไทย ซึ่งเดิมที facebook ไม่เคยคิดถึงการใช้งานด้านนี้เลย เพียงแต่คิดว่าจะไว้ใช้แชร์เรื่องราวหรือประสบการณ์ของผู้ใช้เท่านั้น แต่พอมาเจอการใช้แบบนี้ ก็ทำให้ได้ศึกษาข้อมูลและพฤติกรรมใหม่ๆ จากผู้ใช้ เพื่อนำไปปรับปรุงบริการได้อีกหลายอย่างเลยทีเดียว
แน่นอน การเข้ามารุกตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ทางแวกเนอร์เล่าอีกว่า จะโฟกัสไปที่สามส่วนหลักๆ คือ ด้าน 1.SMB หรือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่มีสัดส่วนใหญ่ที่สุดถึง 98% จากธุรกิจทั้งหมด ซึ่ง facebook จะเน้นเข้าไปเจาะตลาดฝึกอบรม ให้ธุรกิจเหล่านี้มาใช้เครื่องมือของ facebook ในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า เพราะจากข้อมูลพบว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีตลาด social Commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลก คนไทยกว่า 51% ที่ซื้อของออนไลน์ มักจะซื้อขายผ่านช่องทางนี้ ด้านที่สอง กับรุกไปยังกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีแพลตฟอร์ม workplace สำหรับการใช้งานสื่อสารภายในองค์กร และยังช่วยในการประชาสัมพันธ์สื่อภายนอกด้วย
และสุดท้ายที่เพิ่งหันมาโฟกัสอย่างจริงจัง คือ การสนับสนุนกิจการเพื่อสังคม ซึ่ง facebook มองเห็นว่าพลังของโซเชียลเน็ตเวิร์กนั้นสามารถช่วยเหลือสังคมชุมชน ความเป็นอยู่ได้อีกมาก ทางเราจึงพร้อมสนับสนุนการดำเนินงานในส่วนนี้ โดยปัจจุบัน คนไทย มีการสร้างกลุ่มบน facebook ถึง 1 ล้านกลุ่ม ซึ่งมีหลายกลุ่มในนี้น่าสนใจ มีประโยชน์ ทางเราก็เพิ่มสนับสนุนให้มีการใช้เครื่องไม้เครื่องมือของเราในการสร้างสังคมที่ดีขึ้น
นี่คือ พันธกิจ ก้าวต่อไปของ facebook ในประเทศไทย ที่ต้องจับตามอง.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |