ครม.เห็นชอบโครงการ "ม.33 เรารักกัน" รับคนละ 4,000 บาท จำนวน 9.2 ล้านคน เริ่มลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com ตั้งแต่ 21 ก.พ. - 7 มี.ค.นี้ อลหม่าน! ประชาชนกลุ่มไม่มีสมาร์ตโฟนแห่ลงทะเบียนรับสิทธิ์ "เราชนะ" แน่น ธ.กรุงไทย ด้านคลังหัวหมุนเร่งหาช่อง เล็งเพิ่มแบงก์-ขยายวันรับลงทะเบียน

    ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 15 กุมภาพันธ์ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติกรอบวงเงินในการช่วยเหลือเยียวยาผู้อยู่ในระบบประกันสังคม โดยเห็นชอบอนุมัติงบประมาณ 37,100 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกันตน ม.33 ตามโครงการ "ม.33 เรารักกัน" ในการให้ค่าใช้จ่าย 4,000 บาทแก่ผู้ได้รับสิทธิ์ 9,270,000 คน โดยผู้ที่มีคุณสมบัติต้องเป็นผู้ประกันตนตาม ม.33 ที่มีสัญชาติไทย ต้องไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ใช่ผู้ได้รับสิทธิ์เราชนะ และต้องมีเงินฝากในบัญชีไม่เกิน 500,000 บาท นับถึง 31 ธันวาคม 2563
    ทั้งนี้ ผู้มีสิทธิ์ข้างต้นสามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ม.33เรารักกัน.com และตรวจสอบการได้รับสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ - 7 มีนาคม 2564 จากนั้นธนาคารจะตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งประมวลผลการคัดกรองระหว่างวันที่  8-14 มีนาคม 2564 ผู้ได้รับการยืนยันสิทธิ์กดใช้งานและกดยืนยันตัวผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ระหว่างวันที่ 15-21  มีนาคม 2564 และสามารถรับโอนเงินผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ได้ครั้งละ 1,000 บาท รวมทั้งสิ้น 4,000 บาท ในวันที่  22, 29 มีนาคม และวันที่ 5, 12 เมษายน 2564 โดยเริ่มใช้แอปพลิเคชันเป๋าตังจ่ายเงินสำหรับการซื้อสินค้าและบริการกับร้านค้าภายในโครงการเราชนะ ได้ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม -  31 พฤษภาคม 2564
    นายอนุชากล่าวอีกว่า ครม.ยังอนุมัติให้กระทรวงการคลังปรับปรุงโครงการเราชนะแก่ผู้ที่ต้องการรับความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ทั้งคนสูงอายุและพิการที่ไม่มีแอปพลิเคชันทางโทรศัพท์มือถือ โดยให้ธนาคารกรุงไทยช่วยเหลือดำเนินการได้ และสามารถมอบอำนาจให้ไปดำเนินการได้ ขณะเดียวกันจะจัดเจ้าหน้าที่ออกหน่วยเข้าช่วยเหลือในการกรอกเอกสาร ส่วนการใช้จ่ายเงินสามารถใช้ชิปการ์ดในบัตรประชาชนแบบสมาร์ตการ์ดแทน และปรับคุณสมบัติแก่ผู้ปฏิบัติการในหน่วยงานของรัฐแบบจ้างเหมาของส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจที่จ้างผ่านบริษัท และรวมถึงลูกจ้างรายวัน อาสาสมัครต่างๆ เช่น อสส.และ อสม.ให้ได้รับสิทธิ์ในโครงการ ม.33 เรารักกัน
    ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง เปิดเผยว่า ได้รับทราบปัญหากลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เช่น กลุ่มผู้ไม่มีโทรศัพท์สมาร์ตโฟน, กลุ่มคนชรา, ผู้พิการ และผู้ป่วยติดเตียง ที่คลังเปิดให้มาลงทะเบียนมาตรการเราชนะที่สาขาและจุดบริการพิเศษของธนาคารกรุงไทยในวันที่ 15 ก.พ.64 เป็นวันแรก และปรากฏว่ามีผู้มาลงทะเบียนเป็นจำนวนมาก โดยคลังขอไปพิจารณาก่อนว่าจะแก้ไขอย่างไร จำเป็นต้องให้สถาบันการเงินอื่นของรัฐเข้ามาช่วยรับลงทะเบียนด้วยหรือไม่
    "คลังไม่ทราบว่ากลุ่มที่ไม่มีสมาร์ตโฟนและกลุ่มที่ต้องดูแลเป็นพิเศษยังมีอีกจำนวนเท่าใด ต้องรอรายละเอียดหลังจากที่ลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อยแล้วหลังวันที่ 25 ก.พ.นี้ ส่วนจะขยายไปยังแบงก์รัฐอื่น เช่น ธนาคารออมสิน, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หรือขยายเวลาลงทะเบียนเพิ่มเติมหรือไม่ ต้องขอหารือกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ก่อน" นายอาคมกล่าว
    สำหรับบรรยากาศการลงทะเบียนเราชนะตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 15 ก.พ.64 ที่สาขาธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ และจุดรับบริการพิเศษ 871 จุด มีผู้ที่ไม่มีสมาร์ตโฟน คนชรา ผู้พิการเดินทางมาลงทะเบียนเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มีความล่าช้าและแออัดทุกสาขาตั้งแต่ช่วงเช้า โดยธนาคารกรุงไทยแจ้งผ่านเฟซบุ๊ก Krungthai Care ว่า "ไม่ต้องรีบ คุณสมบัติเข้าเกณฑ์ได้รับสิทธิ์ทุกคน ผู้ไม่มีสมาร์ตโฟนลงทะเบียนได้ถึงวันที่ 25 ก.พ.64 ตรวจสอบจุดบริการพิเศษได้ที่  krungthai.com ร่วมรักษาระยะห่าง ใส่หน้ากาก ไม่ประมาทโควิด-19"
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงการคลังได้เสนอ ครม. เห็นชอบจ่ายเงินเยียวยาไทยชนะให้กลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ให้ครอบคลุมถึงการใช้บัตรประชาชน เพิ่มเติมจากการใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยกระทรวงการคลังเปิดให้กลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษลงทะเบียนเพียง 10 วัน คือวันที่ 15-25 ก.พ.  จากนั้นจะประกาศผลตรวจสอบสิทธิ์ และคาดว่าจะโอนเงินรอบแรกได้วันที่ 5 มี.ค.64 ก้อนแรก 4,000 บาท และโอนสัปดาห์ต่อไปสัปดาห์ละ 1,000 บาท จนครบ 7,000 บาท  โดยสามารถใช้จ่ายได้ถึง 31 พ.ค.64
    พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการลงทะเบียนเราชนะว่า ตนทราบว่ามีการเบียดเสียดยัดเยียดกันมากในขณะนี้ มันมีเวลาอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาวันแรกได้ไหม บางทีมันแน่นเกินไป ขีดความสามารถในการดูแล  บางทีการพบปะกันด้วยเอกสาร ทางหลักฐาน ต้องใช้เวลามากพอสมควร วันหนึ่งอาจไม่ได้มากนัก แต่ถ้าเราทยอยกันมามันก็ไม่คับคั่ง เพราะมีช่วงเวลาที่กำหนดไว้แล้ว ถ้าไม่พอก็ขยายอีกได้หากจำเป็น วันนี้ได้สั่งกระทรวงการคลังไปดูเรื่องนี้แล้ว ก็ขอให้ทุกคนยังคงต้องระมัดระวัง ใช้หน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่างควบคู่ไปด้วย เพราะจะสามารถป้องกันได้ในระดับที่ดีพอสมควร ใครได้รับวัคซีนหรือยังไม่ได้รับก็ยังคงต้องใส่หน้ากากอยู่.