นี่คือพาดหัวประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐฯ อีกครั้งหนึ่ง
ประวัติศาสตร์บันทึกว่า โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกและคนเดียวที่ถูกไต่สวนเพื่อถอดถอน (Impeachment) สองครั้ง
และรอดทั้งสองครั้ง
แต่รอดพร้อมรอยตำหนิที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต
ครั้งที่สองที่เพิ่งลงมติไปเมื่อเช้ามืดวันอาทิตย์ (เวลาบ้านเรา) นั้นคือ 57-43
โดยมีสมาชิกวุฒิสภาฝั่งรีพับลิกัน 7 คนแปรพักตร์มายกมือไม่เอาทรัมป์กับฝ่ายเดโมแครต
ถือเป็นปรากฏการณ์หยามหน้าทรัมป์อย่างเปิดเผย
แต่ "งูเห่า" เพียง 7 ตัวไม่พอที่จะ "ถอดถอน" ได้ เพราะตามรัฐธรรมนูญการจะปลดประธานาธิบดีได้ต้องได้เสียง 2 ใน 3 ของสภาสูง
ขาดไปอีก 10 เสียงจากฝั่งรีพับลิกัน
แต่ก็สร้างความแตกแยกในพรรคนี้ได้อย่างรุนแรงพอสมควร
ทีมทนายของทรัมป์เสนอหลักฐานสู้คดี ใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงเศษๆ ในการแย้งข้อกล่าวหาทั้งๆ ที่มีโควตาถึง 16 ชั่วโมง
ในช่วง 2 วันก่อนหน้านี้ ส.ส.พรรคเดโมแครตเสนอข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะคำปลุกเร้าของทรัมป์บนเวทีผู้ชุมนุมในวันที่ 6 มกราคม
ส.ส.ผู้กล่าวหายืนยันว่า วาทะร้อนแรงของทรัมป์เป็นสาเหตุที่ทำให้กลุ่มผู้สนับสนุนบุกเข้ายึดอาคารรัฐสภาในขณะที่วุฒิสภาสหรัฐฯ กำลังดำเนินกระบวนการรับรองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีอยู่
วุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกัน 3 คน คือ ลินด์ซีย์ แกรห์ม จากรัฐเซาท์แคโรไลนา, เท็ด ครูซ จากรัฐเทกซัส และไมค์ ลี จากรัฐยูทาห์ ซึ่งมีหน้าที่เป็นสมาชิกคณะลูกขุนในการไต่สวนคดีนี้ ได้ร่วมประชุมกับทีมทนายของทรัมป์ ซึ่งออกจะเป็นเรื่องที่ไม่ปกตินัก
หนึ่งในทนายของทรัมป์อ้างว่า ส.ว.ทั้งสามต้องการเพียงแต่จะช่วยอธิบายให้คณะทนายคุ้นเคยกับกระบวนการต่างๆ ก่อนเข้าร่วมการไต่สวนในวันศุกร์เท่านั้นเอง
มีข่าวหลุดออกมาว่าทรัมป์ไม่ค่อยพอใจกับการทำงานของทนายชุดนี้ ซึ่งเข้ามาทำงานต่อจากทนายชุดแรกที่มีปัญหาจนต้องขอไขก๊อกก่อนการไต่สวนจะเริ่มขึ้นด้วยซ้ำ
อัยการที่มีหน้าที่ยื่นเรื่องถอดถอนต่อสมาชิกวุฒิสภาในวันพฤหัสบดี ตั้งประเด็นกล่าวหาว่ามีหลักฐานที่ "ชัดแจ้งและมากมายหลากหลาย" บ่งชี้ว่าทรัมป์จงใจปลุกระดมให้เกิดจลาจล ด้วยการยุยงส่งเสริมให้ผู้สนับสนุนตนบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาเพื่อเผชิญหน้ากับสมาชิกรัฐสภา
ทั้งๆ ที่สมาชิกรัฐสภากำลังปฏิบัติหน้าที่รับรองผลการเลือกตั้งที่ชี้ว่า ทรัมป์แพ้โจ ไบเดน ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
หนึ่งใน ส.ส.ที่ชื่อ เจมี แรสกิน จากรัฐแมริแลนด์ ซึ่งทำหน้าที่หัวหน้าทีมยื่นเรื่องถอดถอนแถลงปิดว่า
วุฒิสมาชิกทั้ง 100 คนที่ทำหน้าที่เป็นลูกขุนในคดีนี้ควรใช้ "สามัญสำนึกพิจารณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้น"
และย้ำว่าทรัมป์ "นิ่งเฉยเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมง" โดยไม่ทำอะไรให้สถานการณ์ยุติ หลังเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนของตนออกร่วมเดินขบวน
จนเปิดทางให้ผู้บุกรุกเหล่านั้นบุกเข้ามาในอาคาร ทุบกระจกหน้าต่าง รื้อค้นสิ่งของในห้องที่ทำงานต่างๆ และปะทะกับตำรวจ
เหตุการณ์ที่ถูกเรียกว่า "การก่อการร้ายในประเทศ" วันนั้นจบลงด้วยการเสียชีวิตของคน 5 คน รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำอาคารรัฐสภา 1 นาย
ส.ส.แรสกินและสมาชิกทีมถอดถอนอีก 8 คน ซึ่งเป็นสมาชิกสภาล่างสังกัดพรรคเดโมแครตทั้งหมดใช้เวลาราว 12 ชั่วโมงตลอดช่วง 2 วัน นำเสนอข้อมูลและหลักฐานเอาผิดทรัมป์อย่างละเอียด
เช่น โพสต์ทวิตเตอร์ของทรัมป์หลายสิบข้อความที่ออกมาก่อนการเลือกตั้ง
เป็นข้อความที่ทรัมป์ยืนยันตอกย้ำว่า ถ้าตนแพ้ไบเดนก็จะมีเหตุผลเดียว นั่นคือมีการทุจริตการเลือกตั้ง
ที่ดูเหมือนจะสร้างความฮือฮาเพิ่มเติมไม่น้อยคือ วิดีโอคลิปที่แสดงให้เห็นภาพผู้ก่อจลาจลบุกเข้ามาในพื้นที่อาคารรัฐสภา และมีบางตอนที่มีเสียงตะโกนให้ "จับ (อดีตรอง ปธน.ไมค์) เพนซ์ แขวนคอซะ" ด้วย
อีกทั้งผู้ก่อเหตุบางรายถึงกับบุกเข้าไปในห้องที่ทำงานของประธานสภาล่าง แนนซี เพโลซี โดยมีการกล่าวหาว่าอาจจะมีเป้าประสงค์เพื่อหวังจะสังหารเธออีกด้วย
ทีมทนายความของทรัมป์โต้ว่า วาทะของอดีตผู้นำสหรัฐฯ บนเวทีผู้ชุมนุมในเช้าวันที่ 6 มกราคมที่ว่า "Fight like Hell" (ให้สู้ยิบตา) เป็นเพียงวาทะทางการเมืองที่ย่อมได้รับการปกป้องภายใต้บทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ฉบับที่ 1 เกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเท่านั้น
หาใช่การยั่วยุเพื่อให้เกิดความรุนแรงแต่ประการใด
ท้ายที่สุดเมื่อมีการลงมติ ทรัมป์ก็รอด...แต่รอดอย่างไม่รอด เพราะเขายังต้องเผชิญวิบากกรรมเรื่องคดีต่างๆ รวมถึงการถูกประณามหยามเหยียดจากประชาชนหลายกลุ่มหลายเหล่าอีกต่อไป.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |