ระเบิดปิงปองว่อน! ม็อบ3นิ้วกระหน่ำใส่ตำรวจ/เจอสลายพบเมากันเพียบ


เพิ่มเพื่อน    

ราชทัณฑ์แจงข้อความโพสต์บนเฟซบุ๊กของเพนกวิน เป็นการโพสต์โดยบุคคลอื่น เหตุผู้ต้องขังห้ามใช้เครื่องมือสื่อสารทุกชนิด ขณะที่ม็อบ 3 นิ้วรื้อกระถางต้นไม้รอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยออก ก่อนใช้ผ้าแดงคลุม "ไมค์ ระยอง" เป็นคนสั่งการ ขีดเส้น 7 วันหากไม่ปล่อยพวกที่อยู่ในคุกจะชุมนุมอีก เหิมเกริมบุกศาลหลักเมืองไปต่อรองจะเข้าข้างใคร

       เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ชี้แจงกรณีการโพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำคณะราษฎร ซึ่งถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จนเกิดข้อสงสัยว่าเหตุใดจึงสามารถโพสต์ข้อความผ่านสื่อโซเชียลได้แม้กระทั่งถูกคุมขังอยู่ และเป็นการได้รับสิทธิพิเศษเหนือนักโทษคนอื่นหรือไม่ว่า เป็นข้อความที่นายพริษฐ์ได้เขียนขึ้น ณ ห้องเวรชี้สองสถานของศาลอาญา และส่งต่อให้แก่ทนายความของตนเอง ภายหลังจากที่ศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว เมื่อวันที่ 9 ก.พ.64 เวลาประมาณ 17.55 น. ก่อนที่จะถูกนำตัวกลับมาคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
    ดังนั้น การที่ภาพดังกล่าวไปปรากฏอยู่บนเพจเฟซบุ๊กของนายพริษฐ์เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 64 เวลา 00.05 น. เป็นการดำเนินการโดยผู้ดูแลหรือแอดมินแฟนเพจ ซึ่งมีได้หลายคน ไม่ใช่การโพสต์โดยตัวนายพริษฐ์เอง เนื่องจากโทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสารอื่นๆ เป็นสิ่งของต้องห้าม ตามมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 จึงเป็นไปไม่ได้ที่นายพริษฐ์จะมีโทรศัพท์มือถืออยู่ในความครอบครองขณะถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ
        "ขอให้สังคมและประชาชนทุกฝ่ายเชื่อมั่นต่อการปฏิบัติงานของกรมราชทัณฑ์ในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน และเป็นมาตรฐานตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะข้อกำหนดแมนเดลา (Mandela Rules) ซึ่งเป็นข้อกำหนดขั้นต่ำขององค์การสหประชาชาติในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง และพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 รวมถึงกฎ ระเบียบ และวินัยต่างๆ ที่ข้าราชการกรมราชทัณฑ์ทุกคนพึงปฏิบัติและได้ยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด"  อธิบดีกรมราชทัณฑ์กล่าว
    ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย วันเดียวกันนี้ กลุ่มราษฎรนัดชุมนุม "นับ 1 ถึงล้าน คืนอำนาจให้ประชาชน" ตั้งแต่เวลา 15.00 น. เริ่มมีผู้ชุมนุมทยอยมาตามนัด โดยนายภาณุพงศ์ จาดนอก แกนนำกลุ่มราษฎร เปิดเผยถึงกิจกรรมวันนี้ว่า มารักษาไว้ซึ่งโบราณสถานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย การที่ กทม.เอาต้นไม้มาวางบดบัง เรามาเอาสิ่งแปลกปลอมออก และจะมีการเขียนผ้าแดง 30 เมตร เรียกร้องให้ยกเลิก ป.อาญา ม.112 ที่ไม่เป็นไปตามหลักสากล รัฐบาลใช้เป็นเครื่องมือปิดปากผู้เห็นต่าง ขัดพระราชโองการ ไม่มีประโยชน์กับประชาธิปไตย
    ส่วนการที่เพื่อนถูกดำเนินคดีและถูกคุมขังนั้น เราอยากให้ออก แต่ต้องยอมรับกระบวนการยุติธรรมเป็นอย่างนี้ ทั้งที่ยังไม่ตัดสิน ผู้ต้องหายังเป็นผู้บริสุทธิ์ หากเราชนะต้องปรับปรุงให้ดีกว่าเดิม การนำเพื่อนเราไปขังเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง เพราะเขามีเจตนารมณ์ยกเลิก 112 แสดงให้เห็นว่ารัฐกลัวจึงต้องปิดปาก และเราวางแผนทำร่าง พ.ร.บ.ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เสนอต่อไป
    ทั้งนี้ นายภาณุพงศ์ยังกล่าวถึงกรณีหากถูกสลายการชุมนุมก็ต้องเคลื่อนไปทางอื่น ส่วนกรณีที่เกิดความรุนแรงในการชุมนุมที่ผ่านมา นายภาณุพงศ์มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลายคนไม่อยากให้เกิดขึ้น ไม่ว่าฝั่งไหนก็ไม่ควรทำ ในพื้นที่ที่มีผู้คนจำนวนมาก
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการให้สัมภาษณ์ของนายภาณุพงศ์ ตำรวจเข้ามาประกาศแจ้งเป็นการชุมนุมฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้มวลชนเดินไปโห่ไล่ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้น จนกระทั่งมีการอ่านประกาศจบก็ได้ออกจากพื้นที่ไป ขณะที่นายภาณุพงศ์และแกนนำเดินขึ้นไปเปิดรถเวทีปราศรัย
    พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) เปิดเผยถึงการจัดกำลังเตรียมรับมือกิจกรรม “นับ 1 ถึงล้าน คืนอำนาจให้ประชาชน” ซึ่งจัดขึ้นโดยกลุ่มราษฎร ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตั้งแต่เวลา 15.00 น.เป็นต้นไปว่า เบื้องต้นกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 จัดกำลังควบคุมฝูงชนไว้ 2 กองร้อย และ บช.น.ก็สำรองกำลังหากมีสถานการณ์ความไม่สงบอีก 3 กองร้อย ทั้งนี้ ได้เน้นกำลังตำรวจควบคุมฝูงชนหญิงเป็นหลัก โดยจะประเมินตามสถานการณ์ความจำเป็น
    ขณะนี้มีรายงานข่าวอีกว่า กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (บก.อคฝ.) ได้จัดรถฉีดน้ำ 2 คัน, รถสำรองน้ำ 2 คัน, รถควบคุมผู้ต้องหาขนาดใหญ่ 2 คัน ขนาดเล็ก 4 คัน, รถเครื่องเสียง 1 คัน ประจำการที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และให้รถฉีดน้ำอีก 2 คัน, รถสำรองน้ำ 2 คัน, รถควบคุมผู้ต้องหาขนาดใหญ่ 2 คัน ขนาดเล็ก 4 คัน, รถเครื่องเสียงอีก 1 คัน ประจำการที่แยกกองบัญชาการรักษาดินแดน ทั้งนี้ เป็นการเตรียมการสำหรับการควบคุมกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย
    ต่อมาเวลา 17.30 น. นายภาณุพงศ์ปราศรัยให้ผู้ชุมนุมดำเนินการนำต้นไม้บริเวณฐานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยออก จากนั้นกลุ่มการ์ดได้ทำการนำรั้วที่กั้นอนุสาวรีย์ฯ ออก และผู้ชุมนุมทำการช่วยกันลำเลียงกระถางต้นไม้ออกจากอนุสาวรีย์ฯ
    นายภาณุพงศ์ปราศรัยถึงเหตุผลการนำต้นไม้ออกว่า แต่เดิมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยคนเข้าถึงได้ รวมตัวแสดงออกการเมืองได้ การล้อมรั้วปิดกั้น การเอาต้นไม้มาวาง เป็นการเหยียบย่ำสิทธิเสรีภาพประชาชน ไม่สนใจทำร้ายประชาธิปไตย การปกป้องอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นหน้าที่พลเมืองผู้รักประชาธิปไตย สิ่งใดไม่เป็นส่วนหนึ่งของอนุสาวรีย์ฯ เอาออกให้หมด
    เมื่อมีการรื้อเสร็จสิ้น ผู้ชุมนุมได้นำผ้าสีแดงที่มีการให้ผู้ชุมนุมเขียนข้อความยกเลิก ม.112 และข้อความอื่น ขึ้นไปคลุมยังตัวอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยทำการคลุมเสร็จสิ้นในเวลา 18.25 น. ขณะที่จำนวนผู้ชุมนุมโดยรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยยังคงไม่หนาแน่น
    ต่อมา นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือครูใหญ่ แกนนำกลุ่มราษฎร ปราศรัยระบุว่า หากภายใน 7 วันนับจากนี้ไม่มีสัญญาณว่าจะปล่อยเพื่อนเรา เราจะกลับมาเจอกันอีกภายใน 7 วัน คือวันที่ 20 ก.พ.2564 ถ้าเพื่อนเรายังไม่ออกมา เราจะประกาศศึกใหญ่กับรัฐบาลอีกครั้ง จากนั้นนายอรรถพลประกาศให้ผู้ชุมนุมเดินไปศาลหลักเมืองเพื่อถามจะปกป้องเจ้าหรือราษฎร
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กิจกรรมเขียนข้อความลงบนผ้าและนำผ้ามาคลุมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยของผู้ชุมนุม 3 นิ้วเคยเกิดขึ้นแล้วครั้งหนึ่งในการชุมนุม "ม็อบเฟสต์" เมื่อวันที่ 14 พ.ย.2563 ต่างกันที่ครั้งนั้นเป็นผ้าสีขาว ครั้งนี้เป็นผ้าสีแดง ส่วนการรื้อกระถางต้นไม้รอบฐานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยออก ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในการชุมนุมใหญ่เมื่อวันที่ 14 ต.ค.2563
    เวลา 19.00 น. ทางกลุ่มผู้ชุมนุมราษฎร?ได้เดินทางมาถึงถนนราชดำเนินใน บริเวณหน้าสำนักงานศาลฎีกา โดยจุดมุ่งหมายของกลุ่มผู้ชุมนุมคือการเดินทางไปสักการะศาลหลักเมือง แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำกำลังควบคุมฝูงชนและรถฉีดน้ำ รวมทั้งนำรั้วลวดหนามหีบเพลงและแผงกั้นมาปิดถนนราชดำเนินในก่อนไปที่บริเวณศาลหลักเมืองและวัดพระศรีรัตนศาสดารามไว้ โดยทางแกนนำได้เตือนให้ผู้ชุมนุมพกน้ำเปล่าเอาไว้เพื่อป้องกันกรณีที่มีการปะทะเกิดขึ้น
    ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประกาศเตือนผู้ชุมนุมผ่านรถขยายเสียงให้ยุติการชุมนุม เนื่องจากฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นอกจากนี้ยังประกาศให้สื่อมวลชนออกจากบริเวณที่ชุมนุม
    ทั้งนี้ แกนนำได้ประกาศให้เวลาเจ้าหน้าที่ 7 วันในการปล่อยตัวเพื่อนเราที่ถูกคุมขังฐานความผิดมาตรา 112 หากไม่ทำตามข้อเรียกร้อง ไม่มีการให้ประกันตัวหรือไม่ส่งสัญญาณอะไรอีก ก็เตรียมระดมมวลชนมาชุมนุมที่บริเวณท้องสนามหลวง
    เวลา 19.40 น. ที่บริเวณหน้าศาลฎีกา ถนนราชดำเนินในทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้ปาข้าวของไปยังฝั่งเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นขวดน้ำ ก้อนหิน พลุควัน ทำให้ต้องใช้โล่เพื่อป้องกันตัว เนื่องจากทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้ขอให้เจ้าหน้าที่เปิดไฟส่องสว่างมายังกลุ่มผู้ชุมนุม แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ดำเนินการใดๆ โดยในเวลาเดียวกันได้เกิดเสียงดังค?ล้ายระเบิดที่บริเวณปะทะ ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้เรียกให้แกนนำเข้ามาเจรจาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่สงบเหมือนกรณีก่อนหน้านี้
    เวลา 20.00 น. ภายหลังเกิดเหตุปะทะระหว่างผู้ชุมนุมราษฎรกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้มีการเจรจาระหว่างตำรวจกับแกนนำอีกครั้ง โดยในที่สุดมีการอนุญาตให้แกนนำกลุ่มราษฎร 4 คน เดินเข้าไปหน้าศาลหลักเมือง ประกอบด้วย นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือครูใหญ่, นายณวรรษ เลี้ยงวัฒนา, น.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา และ น.ส.เบนจา อะปัญ
    โดยนายอรรถพลกับพวกได้ทำการเทน้ำลงบนพื้นคล้ายกับการกรวดน้ำ พร้อมคำกล่าวขอให้เจ้าพ่อหลักเมืองคุ้มครองกลุ่มราษฎร เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว นายอรรถพลออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า เป็นการเข้าไปเจรจากับเจ้าพ่อหลักเมืองให้อยู่ข้างราษฎร คุ้มครองราษฎร หลังจากนี้ 7 วัน เราเรียกร้องให้ปล่อยเพื่อนเราให้ได้รับการประกันตัว ภายในวันที่ 20 ก.พ.นี้ เราคุยกับศาลยุติธรรม ต้องฟังเสียงประชาชน ไม่เป็นคู่ขัดแย้งประชาชน ต้องให้ประกันตัว และคุยกับศาลหลักเมือง ไม่ว่าจะศาลโลกจริงหรือศาลหลักเมืองก็ขอให้อยู่เคียงข้างประชาชน
    จากนั้นนายอรรถพลได้กลับมาที่รถปราศรัย ย้ำถึงการเรียกร้องให้นายอานนท์ นำภา, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์, นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และนายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม ได้รับการประกันตัวภายใน 7 วัน ก่อนกำหนดนัดชุมนุมในวันที่ 20 ก.พ.นี้ จากนั้นได้มีการยุติการชุมนุมในเวลาประมาณ 20.20 น.

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"