"ก้าวไกล" รับมีความคิดหลากหลายแม้ 9 ส.ส.ไม่ลงชื่อแก้ ม.112 แต่จุดยืนเดียวกันมี "เจ้านายคือประชาชน" เครือข่ายนักกฎหมาย 126 คนโต้แย้งคำสั่งศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว 4แกนนำราษฎร เสมือนตัดสินผู้ต้องหาไว้ล่วงหน้า โฆษก พท.ไปไกล หากไทยยังใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมหวั่นสหรัฐจะใช้มาตรการแบบพม่า "ปารีณา" โต้กลับจะให้เอาแบบสหรัฐไหมม็อบบุกรัฐสภาใช้กระสุนจริง "กลุ่มราษฎร” อุบาทว์นัด 14 ตุลา.เคลื่อนขบวนไปห่มผ้าแดงภูเขาทอง อ้างรำลึกประวัติศาสตร์การต่อสู้ ขณะที่วัดสระเกศประกาศปิดวัดชั่้วคราว "ดอน" สั่ง อว.สอบ มอ.สงขลาปล่อย "ปวิน" สอนออนไลน์ "โบว์" สุดทนแจ้ง ปอท.เอาผิด "ปวิน" ปล่อยคลิปแอบถ่าย
เมื่อวันศุกร์ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกระแสข่าวที่มีการพูดถึงเพื่อน ส.ส.พรรคก้าวไกล 9 คน ที่ไม่ได้ร่วมลงชื่อยื่นเสนอแก้ไขชุดกฎหมายคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน ที่รวมถึงมาตรา 112 เมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่าพรรคมีการพูดคุยกันเรื่องนี้เป็นการภายใน ก่อนมาถึงการยื่นร่างแก้ไขกฎหมายมานานเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 4-5 เดือน ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน และมีความหลากหลายทางความคิด บางคนยังอาจได้รับเสียงสะท้อนมาจากพื้นที่ในด้านที่แตกต่าง หรือมีแง่มุมเทคนิคกฎหมายที่เห็นแตกต่างไปในการยื่นเสนอกฎหมายชุดนี้ ซึ่งเราทำต้นร่างออกมาอย่าง 3 แนวทาง เพื่อโหวตกัน บางคนก็ยืนยันในแนวทางของตน หรืออาจมีเหตุผลอื่นหรือเห็นในแนวทางอื่นอีก ซึ่งทั้ง 9 ท่านได้ชี้แจงต่อที่ประชุมพรรคแล้ว เรื่องนี้จึงเป็นความเข้าใจกันตั้งแต่แรกจากกระบวนการประชาธิปไตยภายในพรรค ซึ่งมองว่าเป็นจุดที่เข้มแข็งและเป็นความสวยงามของพรรคเรา โดย ส.ส.หลายคนตนก็มีความสนิทสนม และสัมผัสและรับรู้ถึงความตั้งใจในการทำงานและจุดยืนเดียวว่า ‘เจ้านายของเราคือประชาชน’
“ความแตกต่างที่หลากหลายทางความคิด เป็นปกติการอยู่ร่วมสังคมเดียวกัน รวมทั้งพรรคการเมือง บางเรื่องอาจมีมุมมองที่ไม่ได้ตกผลึกไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ หากเป็นเรื่องที่ต้องชี้ขาด ต้องการมือ ต้องการเสียงชี้ขาด เราก็เคยเห็นจุดยืนที่ชัดเจนของพวกเขาที่ยืนหยัดร่วมกับพรรคมาตลอด อย่างกรณี พ.ร.ก.โอนย้ายกำลังพล ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหวและต้องอาศัยความกล้าหาญทางการเมืองเช่นเดียวกัน ส่วนในเรื่องนี้เป็นที่รับรู้ตรงกันว่าสามารถรวบรวมชื่อได้เพียงพอในการยื่นเสนอกฎหมายแล้ว จึงมีการขอสงวนสิทธิ์ไว้ ทางพรรคก็สามารถยอมรับได้ ที่ผ่านมาพรรคมีการเสนอกฎหมายบางฉบับ เช่น ร่างกฎหมายยุติการตั้งครรภ์ ส.ส.หลายท่านก็ขอสงวนสิทธิ์ด้วยเหตุผลตามความเชื่อทางศาสนา พวกเราในพรรคก็น้อมรับความเห็นต่างเหล่านั้น และทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรกันต่อไป ซึ่งไม่ได้ส่งผลให้พรรคไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้”
นายณัฐชากล่าวต่อว่า สิ่งที่อยากให้พ่อแม่พี่น้องทำความเข้าใจมากกว่ากลเกมที่ฝ่ายตรงข้ามพยายามตีขึ้นมาบดบังประเด็นสำคัญ ก็คือวัตถุประสงค์และรายละเอียดในการแก้กฎหมายครั้งนี้ที่พรรคก้าวไกลพยายามปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน อยากให้ประชาชนแสดงความเห็นด้วยกันร่วมกับพวกเราให้มากๆ เพื่อทำให้กฎหมายชุดนี้ผ่านสภาได้ เพื่อเป็นการเริ่มต้นก้าวใหม่ของสังคมไทย เป็นก้าวหน้าและก้าวไกลที่มองเห็นอนาคตใหม่ที่รออยู่ในวันข้างหน้าอย่างสวยงาม
วันเดียวกัน คณาจารย์ เครือข่ายนักกฎหมาย และนักกฎหมาย จำนวน 126 คน ออกแถลงการณ์โต้แย้งต่อคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวแกนนำราษฎร 4 คน โดยมีเหตุผลระบุว่า 1.จากพฤติการณ์ของอานนท์ นำภา, พริษฐ์ ชิวารักษ์, สมยศ พฤกษาเกษมสุข และปฏิวัฒน์ สาหร่ายแย้ม ได้แสดงให้สังคมเห็นอย่างต่อเนื่องและหนักแน่นว่าการกระทำของพวกเขาเป็นการกระทำโดยสงบ ปราศจากความรุนแรง และเปิดเผยต่อ นอกจากนี้ ความร้ายแรงของโทษในคดีที่พวกเขาถูกกล่าวหานั้น ยิ่งมีเหตุอันสมควรยิ่งที่ประชาชนทั้งสี่จะต้องมีโอกาสในการต่อสู้คดีและพิสูจน์เจตนาอันบริสุทธิ์แห่งตนด้วยพยานหลักฐานอย่างเต็มที่ โดยการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นมาตรการที่มีขึ้นเพื่อรับประกันว่าประชาชนคนไทยจะไม่ถูกกลั่นแกล้งหรือถูกให้ร้ายในนามของกระบวนการยุติธรรม เพียงเพราะพวกเขาเป็นเห็นแตกต่างจากผู้มีอำนาจรัฐ
เสมือนศาลตัดสินไว้ล่วงหน้า
2.การที่ศาลระบุในคำสั่งไม่ให้ประกันตัวว่า “พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า คดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง อีกทั้งการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำซ้ำๆ ต่างกรรมต่างวาระตามข้อกล่าวหาเดิมหลายครั้งหลายครา กรณีมีเหตุอันควรเชื่อว่าหากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยอาจไปก่อเหตุลักษณะเดียวกันกับความผิดที่ถูกกล่าวหาอีก จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ให้ยกคำร้องแจ้งคำสั่งให้ทราบ และคืนหลักประกัน” เป็นการคาดหมายว่าผู้ต้องหาจะไปกระทำการซ้ำในอนาคต แต่เหตุผลดังกล่าวไม่ได้เป็นไปตามเหตุที่กำหนดไว้ในมาตรา 108/1 จึงมีข้อน่ากังวลถึงการใช้อำนาจและการปฏิบัติหน้าที่ของศาลว่าอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายและกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
3.นอกจากนี้ ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรงหรือไม่ ก็เป็นข้อกล่าวหาที่ทั้งโจทก์และจำเลยต่างจะต้องมีโอกาสอย่างเต็มที่ในการเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ด้วยพยานหลักฐาน การได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นมาตรการที่สืบเนื่องมาจากหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ถูกกล่าวหานั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด(the principle of presumption of innocence) อันเป็นหลักการทางกฎหมายพื้นฐานที่สำคัญในการดำเนินคดีทางอาญา ศาลต้องไม่ตัดสินล่วงหน้าไปก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด ดังที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 29 วรรค 2 ว่า “ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจําเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคําพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทําความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทําความผิดมิได้” อีกทั้งยังเป็นหลักการสากลดังที่ปรากฏใน ICCPR ข้อ 14 (2) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคี มีพันธกรณีในการปฏิบัติตามกติการะหว่างประเทศดังกล่าว
การที่ศาลมีคำสั่งโดยระบุว่า “การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำซ้ำๆ ต่างกรรมต่างวาระตามข้อกล่าวหาเดิมหลายครั้งหลายครา” จึงอาจทำให้เข้าใจได้ว่าศาลมีความเชื่อเสมือนหนึ่งว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยได้กระทำความผิดตามที่พนักงานสอบสวนกล่าวหาจริง ทั้งที่ยังมิได้ดำเนินการสืบพยานและรับฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความ จนปราศจากข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดดังฟ้องจริง ยิ่งเมื่อประกอบกับข้อเท็จจริงที่ว่ายังไม่เคยปรากฏคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีการชุมนุมทางการเมืองของ “ราษฎร” ว่ามีความผิดตามมาตรา 112 ประกอบกับประเด็นข้อกังวลต่อการลิดรอนเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองแล้ว จึงมีข้อสังเกตว่าการไม่ให้ประกันตัวโดยให้เหตุผลดังกล่าวย่อมเสมือนศาลได้ตัดสินพิพากษาผู้ต้องหาในคดีนี้ไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วหรือไม่ รวมทั้งศาลได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนบนพื้นฐานของหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์หรือไม่อย่างใด
ทั้งนี้ ควรต้องตระหนักว่าการแสดงความคิดเห็นเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ความเสมอภาค รวมถึงการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ย่อมมิใช่สิ่งที่เป็นอาชญากรรม หากเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะพลเมืองผู้กระตือรือร้นและรักชาติบ้านเมือง ซึ่งเป็นการใช้สิทธิอันชอบธรรมในฐานะมนุษย์ตามธรรมชาติ
น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 ก.พ. มีการใช้แก๊สน้ำตาจนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บว่า การชุมนุมครั้งนี้ปราศจากอาวุธ ขณะที่เจ้าหน้าที่วางกำลังจุดตรวจคัดกรองเข้า-ออกทุกเส้นทาง จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ชุมนุมจะนำอาวุธหรืออุปกรณ์ที่เป็นอันตรายเข้าไปในพื้นที่ชุมนุมได้ รัฐบาลไม่ควรปัดความรับผิดชอบกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น ต้องสอบสวนให้เกิดความกระจ่างว่าใครเป็นผู้กระทำ ในการปฏิบัติกับผู้ชุมนุมที่ผ่านมา ยังขัดกับหลักสากลและหลักสิทธิมนุษยชน สวนทางกับประชาคมโลกที่ต่อต้านการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ แม้วันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของสหรัฐโทรศัพท์พูดคุยกับเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แสดงความกังวลถึงการชุมนุมประท้วงในไทยที่จับกุมและดำเนินคดีกับประชาชน แต่วันที่ 9 ก.พ. รัฐบาลจับกุมนายอานนท์ นำภา และนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ผู้ชุมนุมโดยไม่ฟังเสียงห่วงใยจากสหรัฐ รัฐบาลไม่เคยตระหนักว่าการกระทำใดๆ ที่ไม่ชอบธรรมจะทำให้ขาดการยอมรับจากนานาประเทศ
พท.อุ้ม 3 นิ้่วโหนสหรัฐ
"อยากให้พลเอกประยุทธ์มองสถานการณ์การเมืองและรัฐประหารยึดอำนาจในเมียนมาเป็นตัวอย่าง เพราะสัปดาห์หน้านายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ จะใช้มาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าคณะรัฐประหารสามารถเข้าถึงเงินทุนของรัฐบาลเมียนมาที่ถือครองในสหรัฐกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 30,000 ล้านบาทได้ และจะควบคุมการส่งออกอย่างเข้มงวด โดยจะอายัดทรัพย์สินที่เป็นของสหรัฐและเป็นประโยชน์แก่รัฐบาลเมียนมา เป็นต้น หากไทยยังคงใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมทางการเมืองโดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือบ่อยครั้ง จนทำให้ไทยสูญเสียความเชื่อมั่นกับชาวโลก อาจทำให้สหรัฐเพ่งเล็งมาที่ไทย และจะกระทบกับการค้าการลงทุนระหว่างกันได้ในอนาคต เพราะไทยส่งออกไปสหรัฐมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก มูลค่าการส่งออกในปีที่ผ่านมาอยู่ที่กว่า 1 ล้านล้านบาท" น.ส.อรุณีกล่าว
ด้านนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวตอบโต้ น.ส.อรุณีว่า ในช่วงที่ประเทศอยู่ระหว่างการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 แต่กลับมีการนัดชุมนุมรวมตัวกันถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องแล้ว อีกทั้งการชุมนุมยังไม่ได้เป็นไปตามกฎหมายสร้างความวุ่นวายและทำให้ประชาชนเดือดร้อน ทั้งนี้ ตำรวจได้แถลงแล้วว่ามีกลุ่มมวลชนไปที่ สน.ปทุมวัน กดดันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยตัวผู้กระทำความผิด และยังมีกลุ่มบุคคลจำนวนหนึ่งได้มีการใช้ระเบิดปิงปอง ลูกบอลประทัด ก้อนหิน ขวด พลุควันสี ขว้างใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ได้รับบาดเจ็บหลายนาย มีทรัพย์สินราชการเสียหาย มีการพ่นสีทำลายรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นการกระทำที่อุกอาจ เสมือนบ้านเมืองนี้ป่าเถื่อน ไม่มีขื่อไม่มีแป ไร้สิ้นกฎหมาย
"เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำตามกฎหมายทุกขั้นตอน ขอให้โฆษกพรรคเพื่อไทยอย่าตำหนิรัฐบาล หรือโยนความผิดให้กับเจ้าหน้าที่เท่านั้น ขอให้มองการกระทำของกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย อย่าได้เข้าข้างผู้ชุมนุม เพราะจะเป็นการส่งเสริมให้คนทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ถ้าเกิดความเสียหายไปมากกว่านี้ พรรคเพื่อไทยที่ชอบให้ท้ายผู้ชุมนุมทำผิดกฎหมายเสียเอง จะออกมารับผิดชอบหรือไม่"
ส่วนที่โฆษกพรรคเพื่อไทยอ้างอิงถึงที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของสหรัฐโทรศัพท์พูดคุยกับ พล.อ.ณัฏพล นาคพาณิชย์ เลขาฯ สมช. นายสุภรณ์กล่าวว่า เรื่องนี้เลขาฯ สมช.ชี้แจงแล้วว่าเป็นการพูดคุยแนะนำตัวสร้างความคุ้นเคยเพื่อประสานงานตามธรรมเนียม ไม่มีการพูดคุยเรื่องการเมืองหรือการบังคับใช้กฎหมายมาตรา 112 แต่โฆษกพรรคเพื่อไทยมายืนยันเช่นนี้ หวังตีกินทางการเมืองจนทำให้หน้าแตกเย็บไม่ติด ขออย่าเอาประเด็นต่างๆ มาพูดเพื่อทำลายบรรยากาศทางการเมืองจนเกิดความวุ่นวายเพื่อปลุกระดมเข้าข้างกลุ่มของตัวเองอีกเลย และหัดยอมรับความจริงด้วยว่ากลุ่มของตัวเองได้ทำอะไรผิด หรือสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างไรไว้บ้าง
"เป็นห่วงพรรคเพื่อไทยที่ใช้โฆษกแต่ละคนอ่อนหัดและอ่อนพรรษาทางการเมือง ยิ่งจะทำให้พรรคเสื่อมและสิ้นศรัทธาจากประชาชน ตลอดจนสมาชิกพรรคจะเบื่อหน่ายเอือมระอา จนในที่สุดพรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคต่ำสิบหรือสาบสูญสิ้นสลายหายไปจากวงการเมืองไทยในเร็ววันนี้" นายสุภรณ์กล่าว
น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า เมื่อโฆษกเพื่อไทยแนะรัฐบาลดูสหรัฐจัดการกับพม่า ปารีณาขอแนะโฆษกฯ ให้ดูสหรัฐจัดการกับผู้ชุมนุมด้วยว่า จะให้รัฐบาลเอาแบบสหรัฐไปเลยหรือ เพราะเมื่อทรัมป์แพ้การเลือกตั้ง ผู้ชุมนุมที่สนับสนุนคนแพ้บุกสภา สหรัฐใช้กระสุนจริง ควบคุมผู้ชุมนุม มีคนบาดเจ็บและตาย ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่ไทยใช้ความอดทนกับผู้ชุมนุมสูง ถึงขั้นปล่อยให้ผู้ชุมนุมดูหมิ่น ใช้ความรุนแรง เหยียบย่ำศักดิ์ศรีเจ้าหน้าที่ เช่น สาดสีใส่ตำรวจ เตะไข่เจ้าหน้าที่ ตบหัวผู้กำกับ คีมเหล็กฟาด
3นิ้วจะห่มภูเขาทองด้วยผ้าแดง
เฟซบุ๊กแฟนเพจ “ราษฎร” ซึ่งเป็นสื่อกลางรายงานความเคลื่อนไหวการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร ได้แชร์ภาพและข้อความจากเพจ “ราษฎรมูเตลู” เชิญชวนมวลชนให้ไปร่วมทำบุญให้วีรชนเดือนตุลา ในงาน “รฤกคุณคนดีมีค่า แห่งประชาธิปไตย” ครั้งที่ 2 ในวันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 15.00-17.00 น. ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา จากนั้นจะเคลื่อนขบวนผ้าแดงไปยังบรมบรรพต วัดสระเกศ (ภูเขาทอง) เพื่อห่มเจดีย์ด้วยผ้าแดง และระลึกถึงประวัติศาสตร์การต่อสู้ เพื่อเรียกร้องทั้งปัญหาปากท้อง ความเหลื่อมล้ำทางสังคม รัฐบาลทหาร และชนชั้นศักดินา
ต่อมาเวลาประมาณ 17.00 น. เฟซบุ๊กวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร ได้เผยแพร่ประกาศวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เรื่อง ปิดวัดชั่วคราว เพื่อทำความสะอาด (Big Cleaning) ระบุว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยังมีการแพร่ระบาดและมีความเสี่ยงสูง และได้มีพุทธศาสนิกชน นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมวัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดนั้น คณะสงฆ์วัดสระเกศจึงปิดวัดชั่วคราว เพื่อทำความสะอาดใหญ่ (Big Cleaning) ในวันอาทิตย์ที่ 14 ก.พ.2564
ขณะที่เพจราษฎรโพสต์อีกว่า นับ 1 ถึงล้าน คืนอำนาจให้ประชาชน พบกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย 13 กุมภาพันธ์ 2564 ตั้งแต่ 15.00 น. เป็นต้นไป อีกนานแค่ไหนม็อบจะชนะ เมื่อไหร่เศรษฐกิจจะดีกว่านี้ รัฐบาลไม่เห็นหรือว่าประชาชนกำลังอดตาย ต้องเรียกร้องอีกกี่ครั้งสถาบันกษัตริย์จะปฏิรูป เมื่อไหร่ประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตย ล้วนเป็นคำถามที่เราต่างสงสัย แต่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะหาคำตอบได้อย่างไร
เพราะคำตอบไม่ได้มาจากใครคนหนึ่ง แต่คำตอบอยู่ที่เราทุกคน ทุกครั้งที่รวมพลังยิ่งทำให้เราส่งเสียงได้ไกลขึ้น ดังขึ้น และเข้าใกล้ชัยชนะมากขึ้นทุกวัน มาร่วมตะโกนให้รัฐรับรู้ความทุกข์ยากของประชาชน มาร่วมส่งเสียงให้ศาลปล่อยเพื่อนเรา มาร่วมแสดงออกให้โลกรับรู้ว่าเราไม่เอามาตรา 112 มาร่วมนับ 1 ไปด้วยกันให้ถึง 1,000,000 เพื่อล้มระบอบศักดินาเผด็จการ ทวงคืนอำนาจให้ประชาชนได้อย่างแท้จริง
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ผู้ลี้ภัยทางการเมือง ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่าได้รับเชิญให้สอนออนไลน์วิชาการต่างประเทศ (สหรัฐ-จีน-อาเซียน) กับคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ว่ายังไม่ทราบข้อเท็จจริง ซึ่งบางครั้งการทวีตเป็นเพียงการเพิ่มเติมสีสัน เบื้องต้นการสอนออนไลน์จะต้องถามฝ่ายอุดมศึกษา และถามทางมหาวิทยาลัยดังกล่าว เพื่อหาข้อเท็จจริงก่อน ส่วนในฐานะที่ตนกำกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นั้น ก็เป็นเรื่องที่รัฐมนตรีจะต้องดูแล เพราะหากเป็นข้อเท็จจริง ก็ต้องปรึกษามาแล้ว เพราะเรื่องนี้ไม่ปกติ ก็ต้องไปตรวจสอบ
"กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่ไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นแสดงว่าเป็นปัญหาของมหาวิทยาลัย โดยส่วนตัวมองว่าคนที่มีปัญหาอยู่แล้ว และถูกเชิญให้มาสอน แสดงว่าผู้เชิญเป็นคนมีปัญหา และหากมาสอนจริง มีการถ่ายทอดสิ่งที่เป็นปัญหาสารพัดให้กับเด็กโยงกันไปหมด ถือเป็นเรื่องไม่สมควร เพราะฉะนั้นคนที่เป็นผู้เชิญต้องมีปัญหา โดยตนจะสั่งการให้ อว.ตรวจสอบเรื่องนี้เป็นกรณีเป็นพิเศษ เพราะเอาคนที่มีปัญหากับชาติ กับสถาบัน และความมั่นคง มาถ่ายทอดปัญหาสู่เยาวชนไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องกับกระบวนการศึกษาของไทย" นายดอนกล่าว
ด้าน ผศ.ดร.นิวัติ แก้วประดับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ ระบุว่า เบื้องต้นได้สอบถามคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์แล้ว ทราบว่าเป็นการบรรยายวิชาการเรื่องระหว่างประเทศ ไม่มีประเด็นการเมือง และได้ทำความเข้าใจกับคณบดีไปแล้ว ว่าต้องมีความระมัดระวังให้มาก ทั้งนี้ เตรียมจะเข้าพบกับรัฐมนตรีกระทรวงการอุดมศึกษาฯ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงประเด็นการบรรยายระบบออนไลน์วิชาการต่างประเทศให้นักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ และได้กำชับไม่ให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นอีก ต้องใช้วุฒิภาวะให้มากกว่านี้
"โบว์"สุดทนฟ้อง"ปวิน"หมิ่นประมาท
สำหรับนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ เป็นนักวิชาการและนักรัฐศาสตร์ชาวไทย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์ประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 และเป็นอดีตนักวิจัยและนักวิชาการ สถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์
โดยคนทั่วไปรู้จักนายปวินในฐานะนักวิชาการที่รณรงค์เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ และเรียกร้องให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในช่วงรัฐประหารปี 2557 นายปวินถูกศาลทหารออกหมายจับเขาฐานขัดคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 5/2557 ไม่ไปรายงานตัว อีกทั้งยังเป็นผู้จัดตั้งกลุ่ม "รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส" ในเฟซบุ๊ก เพื่อเป็นเวทีสำหรับการอภิปรายเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ มีสมาชิกกว่า 1 ล้านบัญชี ก่อนถูกปิดกั้นการเข้าถึงในประเทศไทยเมื่อปี 2563
ด้าน รศ.ดร.ปวิน โพสต์ข้อความตอบโต้ในทำนองว่า รัฐไทยล้างสมองเยาวชนผ่านระบอบการศึกษามาหลายทศวรรษ ทำไมเรื่องแค่นี้จึงทนไม่ได้ ตนเองแค่เลกเชอร์วิชาเดียว พร้อมระบุว่า ตนเองได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรให้พูดเรื่องการต่างประเทศ พอเป็นข่าวฝ่ายตรงข้ามกลับทนไม่ได้ ปล่อยข่าวว่าไม่ได้รับเชิญจากอาจารย์ แค่นักศึกษาจัดกันเอง แต่งเรื่องถึงขนาดคนเชิญอยู่ชั้นปีที่ 4 ทั้งนี้การตรวจสอบง่ายนิดเดียว แค่ดูในรูปก็รู้แล้วว่าใครเป็นใคร ที่สำคัญ หากนิสิตเป็นคนเชิญ ทำไมต้องกังวลถึงขนาดส่งจดหมายถามอธิการฯ จนวุ่นวาย
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผอ.ศูนย์วิจัยการเมืองและการเลือกตั้ง ม.รังสิต อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้โพสต์แสดงความเห็นถึงกรณีดังกล่าว ระบุว่า “1.ผมเชื่อในเสรีภาพทางวิชาการ 2.ผมเชื่อว่านักศึกษา ม.สงขลานครินทร์ฟังแล้วแยกแยะสิ่งถูกผิดได้ 3.ผมไม่คิดว่า อ.ที่เชิญ หรือ ม.ที่เชิญมีปัญหา 4.ผมคิดว่าพี่ดอน (พี่ รร.เก่าผม) มีปัญหา
ที่ บก.ปอท. น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือโบว์ นักกิจกรรมทางการเมือง พร้อมด้วยนายกัณต์พัศฐ์ สิงห์ทอง ทนายความ เดินทางเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน บก.ปอท. เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ผู้ลี้ภัยทางการเมือง ในฐานความความผิดหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีโพสต์ข้อความอันเป็นเท็จหลายครั้งต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนจนถึงปัจจุบัน ล่าสุดมีการนำภาพจากอาชญากรรมที่เกิดจากการแอบถ่ายเมื่อกว่าสองปีก่อนมาเผยแพ ร่พร้อมข้อความซึ่งเป็นการใส่ความและหมิ่นประมาท
น.ส.ณัฏฐากล่าวว่า ตนไม่ได้รู้จักนายปวินเป็นการส่วนตัว แต่ที่ถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องน่าจะมาจากแนวทางการเคลื่อนไหวที่ไม่ตรงกัน สำหรับตนประชาธิปไตยต้องตั้งอยู่บนรากฐานของการให้เกียรติในความแตกต่างหลากหลายทางความคิด และเคารพสิทธิของผู้อื่น ทั้งนี้ ตนมีความกังวลต่อการสื่อสารสาธารณะของนายปวิน ที่เป็นพฤติกรรมนอกกฎหมาย และกระทำการละเมิดผู้อื่นบ่อยครั้ง อาจเพราะถือว่าอยู่ต่างประเทศ จึงไม่สามารถจะเอาผิดโดยง่าย ซึ่งอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมลอกเลียนแบบ
น.ส.ณัฏฐากล่าวอีกว่า โดยเฉพาะในกลุ่มที่นายปวินตั้งขึ้นนั้น มีการสร้างเรื่องใส่ความทั้งบุคคลสำคัญและบุคคลทั่วไปเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก รวมถึงการโจมตีทางเพศและดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งล้วนแต่ขัดแย้งต่อหลักการของสังคมประชาธิปไตย วันนี้จึงได้ประสานกับทาง บก.ปอท.ในการเข้าแจ้งความเพื่อปกป้องสิทธิและศักดิ์ศรีของตนในฐานะมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่ง และเพื่อเป็นการสร้างบรรทัดฐานว่าเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์และอาชญากรรมทางเพศไม่พึงต้องถูกละเมิดซ้ำๆ เพราะการที่ถูกกระทำโดยที่กระบวนการทางกฎหมายไม่สามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ก็เป็นเรื่องที่เลวร้ายมากพอแล้ว
"จึงขอเชิญชวนให้ทุกคนร่วมสร้างมาตรฐานการสื่อสารที่ดีและการปฏิบัติต่อกันอย่างมีอารยะให้กับสังคม เพราะในฐานะแม่และครู ก็มีความห่วงใยเหมือนกันว่าสังคมจะพัฒนาไปในทิศทางใด หากปล่อยให้การกระทำแบบนี้เกิดขึ้นได้ซ้ำซากอย่างลอยนวลอย่างไรก็ตาม ตนก็จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย พร้อมส่งเรื่องไปยังต้นสังกัดของนายปวินเพื่อให้ทางต้นสังกัดดำเนินการควบคู่อีกส่วนหนึ่ง” น.ส.ณัฏฐากล่าว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |