หนุน-ต้านยกเลิก112ขยับ ก้าวไกลให้ดาบสำนักพระราชวัง!


เพิ่มเพื่อน    

           เรื่องมาตรา 112 เข้มข้นขึ้นทุกขณะ หลังเห็นชัด เป้าหมายการขับเคลื่อนของม็อบสามนิ้วและมวลชนผู้สนับสนุนจากสามข้อเรียกร้องเดิม นายกรัฐมนตรีลาออก-ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์

                มาวันนี้ม็อบสามนิ้วกระชับการเคลื่อนไหวให้เหลือแค่เป้าหมายเดียวคือ "ยกเลิกมาตรา 112" ที่ก็คือหนึ่งบริบทย่อยของข้อเรียกร้อง "ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์"

               ยิ่งตอนนี้แกนนำทั้งที่เป็นนักศึกษา-นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ในเครือข่ายมีชนักติดหลังคดีความมาตรา 112 กันระนาว ล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา ศาลอาญาก็ไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราว 4 แนวร่วมแกนนำ อาทิ พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน, อานนท์ นำภา ที่ถูกยื่นฟ้องเป็นจำเลยคดีชุมนุมการเมือง 19-20 ก.ย.2563 ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ซึ่งโดนเอาผิดหลายข้อหา รวมถึงความผิดตามมาตรา 112 ด้วย

                จึงน่าติดตามความเคลื่อนไหวเรื่องมาตรา 112 ทั้งจากฝ่ายสนับสนุนให้ยกเลิกและฝ่ายต่อต้านการยกเลิก 112 ซึ่งสถานการณ์ต่อจากนี้ดูแล้วคงเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ หลังสถานการณ์โควิดเบาบางลง

                ดูได้จากเมื่อวันพุธที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา มีการเคลื่อนไหวในเรื่องดังกล่าวพร้อมกับสอง movement ภายในวันเดียวและสถานที่เดียวกัน

                นั่นก็คือการเคลื่อนไหวของ "พรรคก้าวไกล" ภายใต้เงาของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และปิยบุตร แสงกนกกุล ที่ส่ง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ ส.ส.พรรคก้าวไกล ไปแถลงข่าวการยื่น "ร่างแก้ไข พ.ร.บ.เกี่ยวกับกรณีคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของประชาชน" จำนวน 5 ฉบับ ที่รัฐสภา

                อาทิ “ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เพื่อแก้ไขเกี่ยวกับความผิดฐานหมิ่นประมาท” ทั้งหมด รวมถึงความผิดฐานดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ที่ปัจจุบันก็คือมาตรา 112 โดยพบว่าร่างแก้ไขดังกล่าวมีการเสนอแก้ไขให้การรับโทษจำคุกต้องรับโทษน้อยลง หากศาลตัดสินว่ามีการกระทำความผิดตามฟ้อง

                เช่น จากปัจจุบัน มาตรา 112 บัญญัติว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี"

                ก็พบว่าในร่างดังกล่าวของพรรคก้าวไกลมีการแยกออกเป็นสองวรรค แบ่งเป็นความผิดต่อพระมหากษัตริย์ โดยระบุว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

                และอีกวรรคหนึ่งเป็นความผิดต่อพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ที่เขียนว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

                รวมถึงเสนอแก้ไขให้สิทธิเด็ดขาดในการแจ้งความดำเนินคดีมาตรา 112 อยู่ที่ "สำนักพระราชวัง" เป็นผู้ร้องทุกข์ได้เท่านั้น จากปัจจุบันที่เปิดกว้างใครก็เดินขึ้นโรงพักไปแจ้งความต่อตำรวจให้เอาผิดมาตรา 112 ได้หมด

            แนวคิดดังกล่าว ดร.คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด สมัยเป็นประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เคยเสนอไว้แล้ว โดยคนของคณะก้าวหน้าเคยประเมินว่า แนวทางให้ "สำนักพระราชวัง" มีอำนาจทำเรื่องนี้เพียงองค์กรเดียว คงทำให้การแจ้งความดำเนินคดีมาตรา 112 ลดน้อยลงไปเยอะ ด้วยสถานะพิเศษขององค์กรดังกล่าว

                และวันเดียวกัน "นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี" ที่แสดงบทบาทเปิดหน้าชนทุกรูปแบบกับคณะก้าวหน้า-พรรคก้าวไกล ในเรื่องมาตรา 112 มาตลอด ก็เคลื่อนไหวเช่นกัน โดยเดินทางไปที่รัฐสภาเพื่อยื่นรายชื่อประชาชน จำนวน 101,568 คน คัดค้านการแก้ไขมาตรา 112 ต่อศุภชัย สมเจริญ รองประธานวุฒิสภา

                อย่างไรก็ตาม กับความเป็นจริงทางการเมือง เรื่องการเสนอกฎหมาย-การแก้ไขกฎหมาย การทำให้สำเร็จออกมาได้ต้องใช้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา

      ดังนั้น ที่พรรคก้าวไกลออกตัวขับเคลื่อนเรื่องนี้ในยามที่ตัวเองเป็นฝ่ายค้าน เป็นพรรคขนาดกลางๆ โดยที่ฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค โดยเฉพาะสามพรรคใหญ่ พลังประชารัฐ-ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย ต่างประสานกลมเกลียวมาตลอดว่าไม่เอาด้วยกับการแก้ไขมาตรา 112 ยิ่งวุฒิสภายิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่มีใครเอาด้วยแน่ ไม่ต้องอะไรมาก ลำพังแค่กับพรรคฝ่ายค้านด้วยกันเองอย่าง "พรรคเพื่อไทย" ก็ไม่เคยแสดงท่าทีเอาด้วยกับการแก้ 112 แต่อย่างใด

                คนในพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้าเองก็รู้ดีว่ามันยากที่การแก้ 112 จะทำสำเร็จได้ แต่ที่พรรคก้าวไกลต้องขับเคลื่อนเรื่องนี้ก็เพื่อตอบโจทย์ฐานเสียงของพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้า

            ดูได้จาก "ปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า" ที่ขับเคลื่อนเรื่องยกเลิก 112 มาตลอด ก็ยอมรับเมื่อเร็วๆ นี้ หลังมีสื่อถามว่าการยกเลิก 112 ต้องใช้กลไกรัฐสภาใช้เสียงข้างมาก ซึ่ง ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่เอาด้วยแน่นอนอยู่แล้ว ขณะที่แม้แต่ฝ่ายค้านเอง เพื่อไทย ก็ไม่เคยมีท่าทีใดๆ ในเรื่องนี้

            ทาง "ปิยบุตร" ก็ยอมรับว่า องค์ประกอบทางการเมืองในปัจจุบันเสนอเข้าไปในสภาก็ไม่ผ่าน แต่ปัญหาคือหากไม่ชู้ตเลย เรื่องนี้มันก็ไม่เกิด แต่อย่างน้อยที่สุดการชู้ตเข้าไปในสภามันเป็นช่องทางในการรณรงค์ เท่านั้นไม่พอ อย่างน้อยทำให้การชุมนุมเขามีความรู้สึกว่ามันก็ต้องมีอะไรบางอย่าง

                "ผมกังวลที่สุดเลยคือ อีกไม่นาน ภายในปี 2564 หากสถาบันการเมืองยังเฉย ยังทำเป็นมองไม่เห็นแบบเดิม เยาวชนของชาติเขาจะไม่สนใจไยดีกับรัฐสภา-รัฐบาล-พรรคการเมือง-กลไกรัฐทั้งหมด เขาจะมองข้ามไปหมด แล้วพอมองข้ามไปหมดมันจะไปจบที่ไหน มันก็คือ anarchy (อนาธิปไตย) ก็คือมันอาจไปสู่ revolution ก็ได้ หรืออาจไปสู่การโดนปราบกันหมด แต่สถาบันการเมืองในระบบจะช่วยตรงนี้ได้"

                อย่างไรก็ตาม เมื่อพรรคก้าวไกลเสนอเรื่องแก้มาตรา 112 เข้าไปในสภาเช่นนี้ ย่อมทำให้การเคลื่อนไหวของม็อบนอกสภาต่อจากนี้จะมีธงในการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนขึ้น ด้วยการรณรงค์-เรียกร้องกดดันให้สภาพิจารณาเรื่องนี้ เหมือนกับที่เคยเรียกร้องกดดันให้แก้ไข รธน.จนเกือบสำเร็จอยู่ในเวลานี้.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"