เขตสายไหม / พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.ล่องเรือสำรวจความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่ริมคลองลาดพร้าวในเขตสายไหม พร้อมทั้งมอบทะเบียนบ้านให้แก่ชาวชุมชนที่รื้อบ้านออกจากแนวเขื่อนระบายน้ำและสร้างบ้านใหม่เสร็จแล้ว 2 ชุมชน 75 หลัง เผยความคืบหน้าการสร้างบ้านใหม่ในคลองลาดพร้าว สร้างแล้ว 18 ชุมชน รวม 1,190 หลัง อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 1,231 ครัวเรือน ขณะที่การก่อสร้างเขื่อนมีความคืบหน้า 35 % ล่าช้ากว่าแผนงาน กทม.จี้บริษัทรับเหมาเร่งก่อสร้างเขื่อนให้เสร็จตามสัญญาภายในมิถุนายนปีหน้า
ตามที่รัฐบาลมีนโยบายพัฒนาพื้นที่ริมคลองลาดพร้าว โดยมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการและพัฒนาพื้นที่ริมคลองลาดพร้าว มีผู้บัญชาการทหารบกเป็นประธานฯ และให้กรุงเทพมหานครรับผิดชอบการสร้างเขื่อนระบายน้ำคอนกรีตเพื่อป้องกันน้ำท่วมในคลองลาดพร้าวระยะทาง (ทั้งสองฝั่ง) 45.3 กิโลเมตร และให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ’พอช.’ จัดทำแผนงานรองรับชาวชุมชนที่ต้องรื้อย้ายบ้านออกจากแนวก่อสร้างเขื่อนฯ รวม 50 ชุมชน จำนวน 7,069 ครัวเรือน เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2559
ล่าสุดวันนี้ (15 พฤษภาคม) เวลา 13.30 น. พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการบริหารจัดการและพัฒนาพื้นที่ริมคลองลาดพร้าว และคณะ ได้เดินทางมาที่สำนักงานเขตสายไหม เพื่อประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการและพัฒนาพื้นที่ริมคลองลาดพร้าว หลังจากนั้น ผบ.ทบ.ได้ลงเรือสำรวจความคืบหน้าการก่อสร้างเขื่อนระบายน้ำฯ และการก่อสร้างบ้านใหม่ในคลองลาดพร้าว เขตสายไหม โดยมีนางรัตนธร รัตนสกุล ผู้อำนวยการเขตสายไหม นายสมชาติ ภาระสุวรรณ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ และชาวชุมชนริมคลองประมาณ 200 คนให้การต้อนรับ
รวมทั้งได้มอบทะเบียนบ้านให้แก่ชุมชน กสบ.หมู่ 5 และชุมชนหลังสนามมวย ทอ.รวม 75 หลัง ซึ่งทั้ง 2 ชุมชนนี้ ชาวชุมชนได้รื้อถอนบ้านเรือนออกจากแนวก่อสร้างเขื่อนฯ และสร้างบ้านใหม่ในพื้นที่ที่เหลือจากแนวก่อสร้างเขื่อน นอกจากนี้ ผบ.ทบ.ยังมอบสีทาบ้านและรถเข็นให้แก่ชาวชุมชนด้วย พลเอกเฉลิมชัย กล่าวว่างานคลองลาดพร้าวมีงานที่สำคัญ 3 งานด้วยกันงานแรกคือการรื้อถอนบ้านออกจากแนวเขื่อนงานที่สองคือการสร้างบ้านมั่นคงเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยเป้าหมาย 50 ชุมชนกว่า 7,000 ครัวเรือน ดำเนินการไปแล้วกว่า 2,000 ครัวเรือนส่วนที่สามคือการปักเสาเข็มสร้างเขื่อนซึ่งตอนนี้ดำเนินการไปแล้วประมาณ 15 กิโลเมตร ซึ่งทั้งสามงานมีการทำงานที่ต้องประสานกัน ในภาพรวมของทั้งสามงานที่มีการขับเคลื่อนไปแล้วรวมกว่า 36% ก็ถือว่ามีความคืบหน้าไปพอสมควร อย่างไรก็ตามแต่ยังช้ากว่าแผนที่กำหนดซึ่งปัญหาอุปสรรคอยู่ที่พี่น้องประชาชนบางส่วนที่ยังไม่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งคณะทำงานได้ลงพื้นที่เน้นการเจรจาสร้างความเข้าใจเป็นหลัก เพื่อให้เป็นประโยชน์ส่วนร่วมในการเข้าร่วมโครงการให้โครงการสามารถเดินหน้าไปได้ด้วยดีสำหรับโครงการของลาดพร้าวถือเป็นโครงการที่สำคัญมาก อย่างไรก็ตามต้องผลักดันให้บรรลุถึงผลสำเร็จให้ได้ เพื่อให้คุณภาพชีวิตพี่น้องชุมชนริมคลองดีขึ้น อีกทั้งช่วยให้การระบายน้ำมีประสิทธิภาพ ส่วนผู้ที่ไม่เข้าร่วมต้องใช้เวลาในการสร้างความเข้าใจต่อไป ในส่วนของโครงได้ดำเนินการไปแล้วตามแผน ไม่สามารถเรียกร้องอะไรเพิ่มเติมได้ ท้ายสุดก็ต้องใช้มาตรการทางกฎหมาย ดังนั้นทุกๆ 3 เดือนจะมีการติดตามการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้งานแล้วเสร้จตามแนวทางรัฐบาล เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนริมคลองต่อไป
นายอดุลย์ จงเกาะกลาง ประธานชุมชน กสบ.หมู่ 5 กล่าวว่า ชุมชน กสบ. เดิมเป็นพื้นที่ของกองการสร้างสนามบิน (กสบ.) กองทัพอากาศ อยู่ติดกับคลองสอง (คลองลาดพร้าว) เมื่อการสร้างสนามบินแล้วเสร็จ จึงมีประชาชนเข้ามาปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัย เพราะอยู่ใกล้กับตลาดยิ่งเจริญ ทำให้สะดวกต่อการทำมาหากิน ต่อมาชุมชนเริ่มขยายตัวขึ้น พื้นที่บนบกไม่เพียงพอต่อการอยู่อาศัย จึงมีการปลูกบ้านรุกล้ำลงไปในคลองมากขึ้น
“เมื่อรัฐบาลมีโครงการพัฒนาคลองลาดพร้าว โดยจะมีการก่อสร้างเขื่อนระบายน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม ชาวบ้านก็ไม่ได้คัดค้าน และยินดีให้ความร่วมมือ เพราะรัฐบาลก็ไม่ได้ทอดทิ้งประชาชน ให้หน่วยงานต่างๆ เข้ามาดูแลช่วยเหลือ โดยเฉพาะการสร้างบ้านใหม่ในชุมชนเดิมให้ดีกว่าเก่า เพราะบ้านที่ชาวบ้านปลูกมานานหลายสิบปีส่วนใหญ่ก็เก่าทรุดโทรมหมดแล้ว ชาวบ้านจึงยอมรื้อย้ายออกจากแนวเขื่อนฯ เพื่อสร้างบ้านใหม่” ประธานชุมชนกล่าว
ชุมชน กสบ.หมู่ 5 เดิมมีทั้งหมด 155 ครัวเรือน สร้างบ้านใหม่ในชุมชนเดิม 121 ครัวเรือน ส่วนอีก 34 ครัวเรือนจะย้ายไปอยู่ที่ดินแปลงอื่น ได้รับสัญญาเช่าที่ดินจากกรมธนารักษ์เมื่อปี 2559 ในอัตราตาราวาละ 1.50 บาทต่อเดือน พื้นที่ทั้งหมด 8 ไร่เศษ เริ่มก่อสร้างบ้านเฟสแรกจำนวน 40 หลังในเดือนเมษายน 2560 ปัจจุบันการก่อสร้างบ้านเสร็จแล้ว และมีชาวบ้านบางส่วนเข้าอยู่อาศัยแล้ว ส่วนที่เหลืออีก 81 ครัวเรือนจะทยอยก่อสร้างต่อไป
สำหรับแบบบ้านมี 4 แบบ ตามจำนวนสมาชิกและความสามารถในการผ่อนส่ง คือ 1. บ้านแถว 1 ชั้น (4x7 ม.) จำนวน 6 หลัง ราคาหลังละ 184,119 บาท 2. บ้านแถว 2 ชั้น (4x7 ม.) จำนวน 29 หลัง ราคาหลังละ 330,271 บาท3. บ้านแฝด 2 ชั้น (4x7 ม.) จำนวน 2 หลัง ราคาหลังละ 356,889 บาท และ 4. บ้านแถว 2 ชั้น (6x7 ม.) จำนวน 3 หลัง ราคาหลังละ 501,301 บาท
ทั้งนี้ชาวชุมชน กสบ.หมู่ 5 เฟสแรก 40 ครัวเรือนได้รวมกลุ่มกันจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อเป็นทุนในการสร้างบ้าน และจดทะเบียนเป็นสหกรณ์เคหสถาน เพื่อร่วมกันบริหารโครงการ โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนสนับสนุนงบประมาณสาธารณูปโภค รวม 2,150,000 บาท อุดหนุนการสร้างที่อยู่อาศัย รวม 1,075,000 บาท ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบและเสียโอกาส รวม 2,880,000 บาท และงบสินเชื่อสร้างบ้าน รวม 9,980,244 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 บาทต่อปี ระยะเวลาผ่อนส่ง 15 ปี
อย่างไรก็ตาม นอกจากการสร้างบ้านใหม่ดังกล่าวแล้ว ชุมชนยังมีแผนงานในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ส่งเสริมอาชีพชาวชุมชน ดูแลสิ่งแวดล้อม โดยจะร่วมกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดทำแผนและดำเนินโครงการต่างๆ ภายในเร็วๆ นี้ นอกจากนี้การก่อสร้างบ้านใหม่ในเฟสต่อไปจะมีการสร้างบ้านกลาง เพื่อให้ผู้ที่ด้อยโอกาส คนชรา หรือผู้พิการได้อยู่อาศัยโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รวมทั้งหมด 4 หลัง
นายสมชาติ ภาระสุวรรณ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กล่าวว่า แผนงานรองรับประชาชนที่ต้องรื้อย้ายบ้านเรือนออกจากก่อสร้างเขื่อนระบายน้ำฯ ในคลองลาดพร้าว หรือโครงการ ‘บ้านประชารัฐริมคลอง’ เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2559 มีเป้าหมายดำเนินการในคลองลาดพร้าวและคลองบางซื่อ รวม 50 ชุมชน จำนวน 7,069 ครัวเรือน เพื่อแก้ไขปัญหาการปลูกสร้างบ้านเรือนกีดขวางทางระบายน้ำ และพัฒนาที่อยู่อาศัยของชาวชุมชนให้มีความมั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ส่วนกระบวนการสร้างบ้าน นายสมชาติกล่าวว่า โครงการบ้านประชารัฐริมคลองมีหลักการ คือ 1. หากชุมชนใดสามารถอยู่ในที่ดินเดิมได้ (หลังจากสำรวจและวัดแนวเขตว่าพ้นจากแนวเขื่อนฯ แล้ว) จะต้องทำสัญญาเช่าที่ดินจากกรมธนารักษ์ ระยะเวลาช่วงแรก 30 ปี (สามารถต่อสัญญาได้ครั้งละ 30 ปี) อัตราค่าเช่าไม่เกิน 2 บาท/ตารางวา/เดือน) นอกจากนี้ชาวชุมชนจะต้องรวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อออมเงินสร้างบ้าน และจัดตั้งสหกรณ์เคหสถานขึ้นมาเพื่อบริหารโครงการ มีการสำรวจข้อมูลชุมชน ออกแบบผังชุมชน ออกแบบบ้านร่วมกัน โดยมีสถาปนิกจาก พอช.เป็นที่ปรึกษา ใช้วิธีการจ้างผู้รับเหมาหรือบริษัทก่อสร้างบ้าน
และเนื่องจากพื้นที่ชุมชนริมคลองมีจำกัด ดังนั้นครอบครัวใดที่เคยครอบครองที่ดินมากก็จะต้องเสียสละแบ่งปันที่ดินให้ครอบครัวอื่นๆ ได้อยู่อาศัยร่วมกัน โดยการแบ่งที่ดินให้แต่ละครอบครัวเท่ากัน โดย พอช.จะสนับสนุนเรื่องสินเชื่อไม่เกิน 360,000 บาท/ครัวเรือน ระยะเวลาผ่อน 20 ปี ดอกเบี้ยร้อยละ 4 บาทต่อปี รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณสร้างสาธารณูปโภคครัวเรือนละ 75,000 บาท เงินอุดหนุนและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบครัวเรือนละ 72,000 บาท
2. หากชุมชนใดมีพื้นที่ไม่เพียงพอ ชาวบ้านอาจจะรวมตัวกันไปหาที่ดินแปลงใหม่ที่อยู่ไม่ไกลจากชุมชนเดิม เพื่อความสะดวกในการประกอบอาชีพ การเดินทาง สถานศึกษา เช่น ที่ดินของบรรษัทสินทรัพย์ในสังกัดกระทรวงการคลัง หรือที่ดินเอกชน โดย พอช.จะให้การสนับสนุนสินเชื่อครัวเรือนละไม่เกิน 450,000 บาท และช่วยเหลือเหมือนกับข้อ 1
3.หากไม่มีที่ดินที่เหมาะสม พอช.จะประสานกับการเคหะแห่งชาติเพื่อหาที่อยู่อาศัยรองรับชาวชุมชน เช่น โครง การบ้านเอื้ออาทร ฯลฯ
“โครงการบ้านประชารัฐริมคลอง เป็นความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมธนารักษ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ คสช. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร สำนักงานเขต การไฟฟ้า การประปา สสส. ฯลฯ เพื่อทำให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง มีสภาพแวดล้อมที่ดี และนอกจากจะสร้างบ้านใหม่แล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสนับสนุนและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชาวชุมชน เช่น ส่งเสริมเรื่องอาชีพ การจัดการขยะ การบำบัดน้ำเสีย ส่งเสริมกิจกรรมเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ และคนพิการด้วย” นายสมชาติกล่าว
สำหรับความคืบหน้าในการก่อสร้างเขื่อนระบายน้ำคอนกรีตเพื่อป้องกันน้ำท่วม ระยะทางสองฝั่งคลองยาว 45.3 กิโลเมตร จากคลองลาดพร้าวบริเวณอุโมงค์เขื่อนพระราม 9 เขตวังทองหลาง ไปยังคลองสอง (คลองลาดพร้าว) เขตสายไหม งบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น 1,645 ล้านบาท โดยบริษัทริเวอร์เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ประมูลงานได้ ซึ่งตามแผนการงานจะใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 1,260 วัน หรือแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2562 นั้น
ขณะนี้ กทม.ได้ส่งมอบพื้นที่ที่ประชาชนรื้อย้ายบ้านเรือนออกจากแนวเขื่อนฯ และพื้นที่ว่างริมคลองให้แก่บริษัทริเวอร์ฯ เพื่อให้เข้าตอกเสาเข็มก่อสร้างเขื่อนไปแล้ว 120,826 เมตร และบริษัทสามารถตอกเสาเข็มได้ 20,867 ต้น คิดเป็นความคืบหน้าโครงการ 28.03 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งล่าช้ากว่าแผนงานมาก ดังนั้น กทม.จึงได้เร่งรัดให้บริษัททำงานให้ได้ตามแผนที่กำหนด โดยจะต้องแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายนปีหน้า
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้บริษัทริเวอร์ฯ ชี้แจงว่าเกิดปัญหาความล่าช้าเนื่องจากประชาชนจำนวนมากยังไม่ยอมรื้อย้ายบ้านเรือนออกจากแนวก่อสร้างเขื่อนฯ ทำให้บริษัทเข้าไปตอกเสาเข็มไม่ได้
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |