ดูแผนที่แล้วก็จะเห็นว่าเมียนมาอยู่ระหว่างเพื่อนบ้านยักษ์สองประเทศ...จีนและอินเดีย...กับ “ยักษ์กลาง” บังกลาเทศ และ “ยักษ์เล็ก” ประเทศไทย
พอเกิดรัฐประหารครั้งใหม่นี้ภาวะแห่งการแข่งขันด้านภูมิรัฐศาสตร์ก็เผยตัวขึ้นอย่างน่าสนใจทันที
เมื่อวานผมเขียนถึงท่าทีของสหรัฐกับจีนที่ต่างก็ต้องการจะมีบทบาทในเมียนมา และต้องแข่งขันกันสร้างอิทธิพลในรูปแบบที่แตกต่างกัน
สหรัฐภายใต้โจ ไบเดน ต้องการกดดันให้พลเอกอาวุโสมิน อ่องหล่าย กลับไปสู่กระบวนการประชาธิปไตย
จีนแสดงความเห็นใจรัฐบาลทหารมากกว่า แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจีนจะกระโจนไปอุ้มผู้นำกองทัพเมียนมาทั้งหมด เพราะจีนวันนี้ต้องการรักษาสถานภาพในเวทีระหว่างประเทศเช่นกัน
อินเดียเป็นเพื่อนบ้านอีกด้านหนึ่งที่มีความสำคัญต่อเมียนมา
สหรัฐพยายามดึงอินเดียมาเป็นพรรคพวกในนโยบาย Indo-Pacific และจีนกับอินเดียก็มีเรื่องระหองระแหงกันมาตลอดช่วงประวัติศาสตร์อันยาวนาน
ท่าทีของอินเดียตั้งแต่เกิดรัฐประหารคือการวางตัวกลางๆ...ไม่ประณาม แต่ก็ไม่สนับสนุน
เพราะผลประโยชน์ของอินเดียในเมียนมามีหลายด้าน ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และการเมือง, ความมั่นคงและเศรษฐกิจ
นายกฯ นารินทรา โมดี ได้แสดงความใกล้ชิดกับอองซาน ซูจี มาตลอด..เมื่อปีที่แล้วก็ส่งเรือดำน้ำมาให้เป็นของขวัญ
เหตุเพราะอินเดียกับเมียนมามีประเด็นเครื่องความมั่นคงที่ต้องคอยประสานเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อกัน
อินเดียเป็นห่วงกิจกรรมที่มีผลต่อด้านความมั่นคงที่รัฐยะไข่
เหตุผลหนึ่งคือ การสร้างท่าเรือที่ Sittwe เพื่อเชื่อม 2 ประเทศ
อีกเหตุผลหนึ่งคือ ยะไข่เป็นที่พำนักของชาวโรฮินจา
อินเดียกังวลกิจกรรมของกลุ่มก่อเหตุร้ายที่หลบซ่อนในเมียนมา
อินเดียกับเมียนมาคุยกันบ่อยๆ เรื่องที่เชื่อว่าจีนสนับสนุนกลุ่ม Arakan Army ติดอาวุธที่สนับสนุนกลุ่มโรฮีนจา และโจมตีโครงการ Kaladan ของอินเดีย
บางครั้งนักรบอารข่านก็จับคนงานในโครงการอินเดียเป็นตัวประกัน
อีกด้านหนึ่งอินเดียต้องการเมียนมาร่วมมือในการปราบปรามกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธว้าที่พม่าและอินเดียสงสัยว่าได้รับการสนับสนุนจากจีนเช่นกัน
นโยบายของรัฐบาลอินเดียที่ผ่านมาคบหาทั้งรัฐบาลพลเรือนของอองซาน ซูจี และกองทัพภายใต้การนำของพลเอกอาวุโสมิน อ่องหล่าย
แน่นอนว่าอินเดียไม่ต้องการเห็นเมียนมาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีนมากเกินไป เพราะอาจจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงของอินเดียเอง
แต่นักวิเคราะห์ที่ติดตามทิศทางการเมืองและการปรับตัวของเมียนมาก็ยอมรับว่า เอาเข้าจริงๆ แล้วคงไม่มีแรงกดดันภายนอกอะไรที่จะสามารถผลักดันให้เมียนมาไปทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
“อนาคตของเมียนมาอยู่ในมือของเมียนมาเอง” คือข้อสรุปของนักวิเคราะห์บางคนที่กำลังประเมินก้าวย่างจากนี้ไปของกลเกมภูมิรัฐศาสตร์
อินเดียเป็นคู่ค้ากับเมียนมาสูงอันดับที่ 4 (ไทย, จีนและสิงคโปร์คือ 3 ประเทศในอันดับต้น)
เมียนมาสั่งสินค้าจากอินเดียเข้าประเทศเป็นอันดับ 7
นั่นแปลว่าแม้จะเป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดกันเพียงนั้น แต่การค้าการลงทุนก็ยังห่างจากจุดที่ทั้ง 2 ประเทศอยากจะเห็น
จุดเชื่อมโยงที่น่าสนใจระหว่างอินเดีย, เมียนมาและไทยคือ “ทางหลวงมิตรภาพ” ยาว 3,200 กิโลเมตร ที่เชื่อม 3 ประเทศ
ทางหลวงนี้เชื่อมรัฐทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย วิ่งผ่านมัณฑะเลย์ของเมียนมาและย่างกุ้งมาต่อกับแม่สอดของไทย
อินเดียถือว่าเมียนมากับไทยเป็นส่วนสำคัญของนโยบาย Act East หรือการมุ่งสู่ตะวันออกของอินเดียในการสร้างความสัมพันธ์ทั้งเศรษฐกิจ, การเมืองและความมั่นคง
พอทหารตัดสินใจ “ล้มกระดาน” รัฐบาลพลเรือน อินเดียก็ต้องชะงัก และกำลังประเมินสถานการณ์ใหม่อีกครั้ง
แต่เมื่อผลประโยชน์ร่วมพื้นฐานของอินเดียกับเมียนมายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างไร เราคงจะเห็นการ “รอด้วยความอดทน” เพื่อให้สถานการณ์ “กลับฟื้นคืนภาวะปกติโดยเร็ว” อย่างที่บอกไว้ในแถลงการณ์ทางการจากนิวเดลี.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |