“การบริหารความพึงพอใจของคนในสังคมยิ่งสำคัญกว่า เพราะทุกกลุ่มคนในสังคมต่างได้รับผลกระทบถ้วนหน้า”
โหมโรงกำหนดวันอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล จำนวน 4 วัน คือ วันที่ 16-18 ก.พ. และลงมติในวันที่ 19 ก.พ. ฝ่ายค้านขึงขัง พร้อมเปิดข้อมูล “หมัดเด็ด” โชว์ความมุ่งมั่นตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลในการบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีร่วมคณะ
แน่นอนว่า ภายใต้องคาพยพและรัฐธรรมนูญปัจจุบัน มือในสภาไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าความเข้มข้นในการตรวจสอบจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านในครั้งที่ผ่านมา คุณภาพลดลงเมื่อเทียบกับยุคที่พรรคประชาธิปัตย์ทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ยังไม่นับรวมปรากฏการณ์ “แจกกล้วย” ให้ลิงแสดงละครการเมืองไปตามอีเวนต์
อีกทั้ง การใช้กลไกรัฐสภาในการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีส่วนให้การถ่วงดุลฝ่ายบริหารด้วยฝ่ายนิติบัญญัติ ก็ยังไร้อนาคต
ล่าสุด คณะกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ลงมติเสียงข้างมากให้การรับหลักการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ของรัฐสภา หรือ 500 เสียง จาก 750 เสียง จึงจะแก้รัฐธรรมนูญได้ จากเดิมใช้แค่เสียงกึ่งหนึ่ง และมี ส.ว.เห็นชอบด้วย 1 ใน 3
ส่งผลให้การแก้รัฐธรรมนูญยากขึ้นไปอีก เพราะต้องหาเสียง ส.ส.และ ส.ว.เห็นชอบเพิ่มมากขึ้นจึงจะแก้ได้สำเร็จ แนวโน้มที่ “ลุงตู่” อยู่ยาวเป็นไปได้สูง
หันมาดูการบริหารงานของรัฐบาล “ลุงตู่” ท่ามกลางวิกฤติหลายเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ แต่ก็ปฏิเสธได้ยากว่าภายในเนื้องานก็มีร่องรอยของความ “เทาๆ” จากคนรอบข้าง จนกลายเป็นสนิมเนื้อในที่กัดเซาะเสถียรภาพรัฐบาลอยู่เนืองๆ
ภายใต้พรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวด้วยอุดมการณ์ แต่จับมือเชิงยุทธศาสตร์ในการป้องกันกลุ่มการเมืองที่ถูกมองว่าอันตรายไม่ให้เข้ามีอำนาจ รวมถึงมีเรื่องผลประโยชน์เป็นเดิมพันที่ผู้เดียงสาทางการเมืองย่อมเข้าใจ จึงทำให้การทำงานร่วมกันไม่ได้เป็นเอกภาพเท่าที่ควร
พล.อ.ประยุทธ์คงยากที่จะแบ่งภาคการบริหารประเทศและบริหารการเมืองออกจากกัน ในเมื่อจุดเริ่มต้นคือเรื่อง “บุญคุณ” และ “การตอบแทน” ส่งผลให้ลดความเป็นอิสระในการตัดสินใจเชิงนโยบาย
แต่เมื่อโจทย์ใหญ่ของประเทศคือการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 ทุกภาคส่วนจึงโฟกัสไปที่ มาตรการ และนโยบายในการแก้ไขปัญหา
ซึ่งถือเป็นโชคดีที่ พล.อ.ประยุทธ์เลือก “เชื่อหมอ” และเดินในแนวทางที่เป็นวิทยาศาสตร์ ผสมผสานข้อมูลจากหลายด้าน รักษาสมดุลในห้วงเวลา 1 ปี ไม่ให้ขาเศรษฐกิจพังไปด้วยกัน ไม่เช่นนั้นรัฐบาลคงตกม้าตายเหมือนตอนเริ่มสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ใหม่ๆ ในรอบแรก
เพราะการบริหารความพึงพอใจของคนในสังคมยิ่งสำคัญกว่า เนื่องจากทุกกลุ่มคนในสังคมต่างได้รับผลกระทบถ้วนหน้า จากโครงการ “คนละครึ่ง” “เราชนะ” “ม.33 เรารักกัน” และอีกหลายมาตรการที่กำลังทยอยออกมา ทำให้เห็นว่ามีการปรับให้สอดคล้องกับเสียงสะท้อนของผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน
หรือเรียกว่า “ไม่หัก” กระแสสังคมในช่วงที่คนพร้อมจะลุกฮือ
แต่ก็ต้องระมัดระวังในเรื่องของ “วัคซีน” ที่เป็นเรื่องใหญ่และต้องอธิบายให้สังคมเข้าใจอย่างรวดเร็ว ยิ่งเกิดปัญหาเรื่องห้วงเวลาที่ต้องเลื่อนฉีดเข็มแรกออกไป อาจส่งผลต่อความไม่มั่นใจในขั้นตอนการจัดหา เข้าทางการเมืองที่มีตั้งข้อสังเกตไว้
รวมไปถึงการเร่งแก้ไขปัญหาความผิดพลาดต่างๆ ที่ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของคนในช่วงนี้ เช่น “เบี้ยคนชรา” ที่กำลังหาทางออก และก็ยังมีความชุลมุนกรณีที่มีการคืนเงินมาแล้วว่าจะดำเนินการอย่างไรไม่ให้ลักลั่นกับมาตรการที่ไม่ต้องคืนเงิน
เลยไปถึงเร่งจัดการปัญหา “มาเฟีย-คนมีสี” ที่เกาะกินระบบเศรษฐกิจส่วนเกินมานาน สะท้อนคำว่า “ส่วย” ที่เกิดขึ้นมานานนับศตวรรษ
อันเกิดจากปรากฏการณ์ “ฝีแตก” ในจุดที่เป็นต้นตอการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไล่ตั้งแต่ สนามมวย บ่อนการพนัน การลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
เปิดแผล “ส่วย” ส่งนายที่ต้องจ่ายกันเป็นทอดๆ
พร้อมตัวละครที่ถูกอ้างถึง และเฉียดไปถึงผู้มีอำนาจและระดับ “บิ๊ก” ที่มีเอี่ยวในผลประโยชน์ จากที่เคยพูดกันแบบ “เขาเล่าว่า” แต่ในที่สุดก็เริ่มมีเค้าลางและหลักฐานที่จะดำเนินการมากขึ้น
และหาก พล.อ.ประยุทธ์ไฟเขียว และเอาจริงเอาจัง จัดการกับ “ขบวนการ” ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมายเหล่านี้ให้สิ้นซาก ก็เชื่อว่าจะมีแรงหนุนจากประชาชนเป็นหลังพิง
นำไปสู่การตอกย้ำผลงานตนเองด้วยการที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในรายการ PM PODCAST นายกรัฐมนตรีเล่าเรื่อง ทางเพจเฟซบุ๊กไทยคู่ฟ้า ร่ายยาวการแก้ปัญหาก่อนตบท้ายเฉียดๆ เรื่องการเมือง
“บ้านเมืองเราโชคดีมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองและประชาชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือ ทุกภาคส่วนสามัคคีกัน เช่น กรณีการระบาดหนักที่จังหวัดสมุทรสาครนั้น เจ้าหน้าที่ในจังหวัดทำงานหนักเท่าไหร่ก็ไม่พอ เสียสละกัน เจ็บป่วยก็มี ซึ่งเราก็ได้รับกำลังเสริมมาจากทั่วประเทศ มีชุดสอบสวนโรคเกือบ 800 คน จาก 41 จังหวัด มีทีมเฝ้าระวังค้นหาตรวจเชิงรุกอีก 250 คน จาก 25 จังหวัด มีเครื่องไม้เครื่องมือที่รับพระราชทานมา ในส่วนของรัฐบาลและส่วนของกระทรวงสาธารณสุขก็มีเครื่องมือ การทำงานแบบไทยๆ เช่นนี้ถือว่าเป็นจุดแข็งของคนไทย
เมื่อมีภัย เราก็ร่วมมือกัน ไม่ควรทิ้งใคร หรือคนไทยด้วยกันจะมาดูแคลนคนไทย ดูแคลนบ้านเกิดเมืองนอนของตน ส่วนใครที่ยังเข้าใจคลาดเคลื่อนและสื่อสารออกไปไม่ตรงกับความเป็นจริง ผมเชื่อว่าในสิ่งเหล่านี้จะทำให้ท่านหันมาร่วมมือกับพวกเราและคนส่วนใหญ่ของประเทศ” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ
กระนั้น ต่อให้การเคลื่อนไหวของ “ม็อบราษฎร” จะปลุกเร้า ตีกลองรบ ชู 3 นิ้ว “ปฏิรูปสถาบัน” ไปพร้อมๆ กับเดินพาเหรดขึ้นโรงพัก-ศาล รับทราบข้อกล่าวหา เลี้ยงกระแสไม่ให้เงียบหายไป ใช้เหตุการณ์รัฐประหารในเมียนมาออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยเพื่อกระทบชิ่ง “รัฐบาลลุง” แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้มากนัก
เพราะ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้าเอง ไลฟ์สดวัคซีนโควิด ก็โดนคดี และยังถูกกรมป่าไม้แจ้งจับรุกป่า จ.ราชบุรี เนื้อที่ 2,100 ไร่ พร้อมด้วยนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ, น.ส.ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาและพี่สาวที่ต้องโดนหางเลขไปด้วย
จึงไม่แปลกที่เกมนี้จะมีเดิมพันด้วยการ “ล้มกระดาน” แต่ก็มีแนวโน้มว่ายากที่จะเดินไปจนสุดทาง สร้างการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินในระยะเวลาอันใกล้
ไม่ต้องพึ่ง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี ที่เตรียมออกมาล่ารายชื่อค้านการแก้ไข ม.112 มวลชน ปฏิกิริยา เพื่อเปรียบเทียบกับ “ม็อบ 3 นิ้ว” เพราะเอาเข้าจริงไม่ได้มีผลในเชิงระงับยับยั้ง แต่ยิ่งกลายเป็นตัวเร่งให้ม็อบโค่นรัฐชอบธรรมมากขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม แม้ รธน.จะสร้างความได้เปรียบให้ “รัฐบาลลุงตู่” อยู่ได้ครบเทอม เพราะฝ่ายค้านอ่อนด้อย ม็อบราษฎรสะบักสะบอม แก๊งก้าวหน้ายังต้องรอลุ้นคดี แต่ถ้าตราบใดไม่มีประชาชนสนับสนุน ลุงตู่ก็อยู่ได้ยาก
จังหวะนี้จึงเป็นโอกาสที่กระแสสังคมหนุนรัฐบาลในการแก้วิกฤติให้ผ่านพ้น รวมไปถึงเชียร์ให้กล้า “ล้างบาง” พังทลาย “ขุมทรัพย์” ใต้ดินที่คนมีอำนาจเข้าไปเอี่ยว ได้รับอานิสงส์ทางอ้อม รวมถึงปฏิรูปองค์กรราชการ กองทัพ ตำรวจ ในห้วงเวลานี้จึงควรทำอย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นก็จะอยู่ท่ามกลางเสียงก่นด่า ไม่ใช่เสียงชื่นชม
จึงเป็นห้วงที่ “ลุงตู่” จะต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ท่ามกลางดอกไม้ หรือก้อนหิน ในห้วงซื้อเวลาบริหารประเทศจนครบเทอม!!!.
/////////////
ดึงโปรย
“การบริหารความพึงพอใจของคนในสังคมยิ่งสำคัญกว่า เพราะทุกกลุ่มคนในสังคมต่างได้รับผลกระทบถ้วนหน้า”
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |