ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศของสหรัฐครั้งใหญ่ ประกาศ "อเมริกากลับมาแล้ว การทูตก็กลับมาแล้ว" สั่งยุติการสนับสนุนการทำสงครามในเยเมนที่ซาอุดีอาระเบียเป็นแกนนำ อีกทางเปิดรับผู้ลี้ภัยเข้าสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างมากจากรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์
แฟ้มภาพ ชาวเยเมนที่สนับสนุนกบฏฮูตีฉีกธงชาติสหรัฐขณะชุมนุมประท้วงรัฐบาลทรัมป์ที่ด้านนอกสถานทูตอเมริกันในกรุงซานาเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2564
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เดินทางไปที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐที่กรุงวอชิงตัน พร้อมกับรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ เป็นสัญลักษณ์สื่อความหมายว่ารัฐบาลของเขาจะกลับมาเน้นความสำคัญกับการทูตอีกครั้งหลังจากช่วงเวลา 4 ปีแห่งความโกลาหลในรัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์
"อเมริกากลับมาแล้ว การทูตก็กลับมาแล้ว" ไบเดนกล่าวต่อบรรดานักการทูตในห้องประชุมที่นั่งกันแบบเว้นระยะห่างทางสังคม
สุนทรพจน์หลังจากนั้น ไบเดนกล่าวว่า สหรัฐจะยุติการสนับสนุนทั้งหมด รวมถึงการขายอาวุธที่เกี่ยวข้องกับสงครามในเยเมนของซาอุดีอาระเบีย ที่ "สร้างความหายนะด้านมนุษยธรรมและยุทธศาสตร์"
เขายังแต่งตั้งทิโมธี เลนเดอร์คิง นักการทูตมากประสบการณ์ เป็นผู้แทนพิเศษของสหรัฐด้านเยเมน ที่จะสนับสนุนความพยายามขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เพื่อให้บรรลุการหยุดยิงและรื้อฟื้นการพูดคุยสันติภาพระหว่างรัฐบาลเยเมนกับกบฏฮูตีที่ควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเยเมนไว้ได้ รวมถึงกรุงซานา "สงครามนี้ต้องจบลง" ไบเดนกล่าว
ด้านท่าทีของซาอุดีอาระเบียต่อสุนทรพจน์ของผู้นำสหรัฐ สำนักข่าวซาอุดีเพรสส์กล่าวว่า รัฐบาลซาอุฯ ยืนยันว่ายังคงมุ่งมั่นกับการหาทางออกทางการเมืองในเยเมน และยินดีกับความมุ่งมั่นของไบเดนที่จะร่วมมือกับซาอุดีอาระเบียเพื่อปกป้องอธิปไตยและต่อต้านภัยคุกคาม
รายงานกล่าวว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ที่อ้างเหตุผลว่าการขายอาวุธช่วยสร้างงานด้านกลาโหมของสหรัฐ มองสงครามเยเมนว่าเป็นหนทางที่จะเอาคืนอิหร่านที่คอยหนุนหลังกบฏฮูตี ในขณะที่ไบเดนสนับสนุนการกลับคืนสู่การทูตและข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน แต่ในสุนทรพจน์ว่าด้วยลำดับความสำคัญด้านต่างประเทศของเขาในครั้งนี้ ไบเดนเพียงกล่าวถึงอิหร่านอ้อมๆ เท่านั้น
แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ กล่าวด้วยว่า เขาจะทบทวนการกำหนดของทรัมป์ว่ากบฏฮูตีเป็นกลุ่มก่อการร้าย
ที่เยเมน ฮามิด อัสเซม เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองอาวุโส แสดงความคาดหวังว่า แผนของไบเดนจะช่วยยุติสงครามเยเมนที่ยาวนาน 6 ปีและทำให้ผู้คนล้มตายนับแสนคน
การเปลี่ยนนโยบายที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งนอกจากสงครามเยเมน ไบเดนกล่าวว่า สหรัฐจะรับผู้ลี้ภัยมากถึง 125,000 คนในปีงบประมาณปีแรกของรัฐบาลของเขา มากมายกว่าที่ทรัมป์อนุมัติไว้ครั้งสุดท้ายก่อนพ้นตำแหน่ง ซึ่งอยู่ที่ 15,000 คน ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
เขายังสั่งระงับแผนของทรัมป์ที่เตรียมจะลดจำนวนกำลังพลอเมริกันในเยอรมนี ที่เป็นเสาหลักของความมั่นคงของนาโตนับแต่เริ่มสงครามเย็น การตัดสินใจของทรัมป์เรื่องนี้ถูกมองว่าเกี่ยวโยงกับความตึงเครียดระหว่างเขากับนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ที่ยินดีต้อนรับผู้อพยพชาวซีเรีย
นอกจากนี้ ไบเดนยังให้คำมั่นว่าจะคงท่าทีแข็งกร้าวกับจีนต่อไป และจะใช้ท่าทีแข็งกร้าวขึ้นกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียด้วย โดยเขาบอกว่า สหรัฐต้องเผชิญกับช่วงเวลาใหม่ของการเพิ่มขึ้นของลัทธิเผด็จการอำนาจนิยม อันรวมถึงความทะเยอทะยานมากขึ้นของจีนที่จะแข่งกับสหรัฐ และความมุ่งมั่นของรัสเซียที่จะสร้างความเสียหายและสร้างความยุ่งเหยิงต่อระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |