เมื่อวัคซีนกลายเป็นการต่อรอง การเมือง-การทูต-เศรษฐกิจ


เพิ่มเพื่อน    

 

      วัคซีนโควิด-19 กลายเป็นประเด็นการเมือง การทูต และเศรษฐกิจไปอย่างน่าเป็นห่วง

            เมื่อการได้มาซึ่งวัคซีนกลายเป็นเรื่องต้องยื้อแย่งกัน เพราะทุกประเทศต่างก็ต้องการให้ได้มาเพื่อประชาชนของตนเองก่อน ตัวกำหนดจึงกลายเป็น "เงิน"

            การแจกจ่ายวัคซีนไม่ได้เป็นไปตาม "ความจำเป็น"  หรือ "ความต้องการ" ของประเทศที่ย่ำแย่ที่สุด

            หากแต่เป็นไปตามกลไกทางธุรกิจ

            ใครรวยกว่าก็ได้เร็วกว่าและมากกว่า ใครจนกว่าก็ต้องรอนานกว่า

            การระบาดของโควิดตอกย้ำถึงความเหลื่อมล้ำในระดับสากลและในแต่ละประเทศอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

            แม้แต่องค์การอนามัยโลก (WHO) ที่พยายามจะทำหน้าที่เป็นกลไกกลางเพื่อลดช่องว่างระหว่างประเทศร่ำรวยกับยากจนก็ยังทำอะไรมากไม่ได้

            ผู้นำจีนประกาศว่าจะให้วัคซีนที่จีนผลิตได้เป็น "สินค้าสาธารณะของโลก" (global public goods) แต่ก็ทำได้อย่างจำกัด

            อินเดียแจกจ่ายวัคซีนที่ตนผลิตร่วมกับ AstraZeneca  ไปยังประเทศเพื่อนบ้านบ้าง แต่ก็ไม่อาจจะทำได้กว้างขวางมากนัก

            กลายเป็น Vaccine politics (การเมืองวัคซีน)

            และ Vaccine diplomacy (การทูตวัคซีน)

            รวมไปถึง Vaccine economy (เศรษฐกิจวัคซีน)

            ที่ล้วนแล้วแต่สะท้อนถึงผลประโยชน์ซ่อนเร้นของแต่ละประเทศที่ต้องการใช้เรื่องวัคซีนเป็นอำนาจต่อรองของตน

            มากกว่าที่จะเป็นความร่วมมือระดับโลกเพื่อเอาชนะโควิด-19 ให้ได้

            กรณีของสหภาพยุโรปกับ AstraZeneca เป็นตัวอย่างของการต่อสู้ในระดับต่างๆ ว่าด้วยธุรกิจ การเมือง และการต่อรองเพื่อประโยชน์แห่งตนได้เป็นอย่างดี

            ประเทศในสหภาพยุโรปถูกประชาชนของตนเองต่อว่าต่อขานว่าจัดหาวัคซีนล่าช้าเกินเหตุ

            สำหรับบางประเทศรัฐบาลถูกแรงเสียดทานจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์จนอยู่ไม่ได้

            เป็นที่มาของข้อพิพาทระหว่างอียูกับแอสตราเซเนกาบริษัทผู้ผลิตวัคซีน

            ถึงขั้นที่อียูต้องประกาศจำกัดการส่งออกวัคซีนที่ผลิตจากประเทศสมาชิกอียูไปยังประเทศอื่น

            โดยอียูอ้างเหตุผลว่า "จะดำเนินการทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อปกป้องพลเมืองของตน"

            ผลกระทบชิ่งมาถึงไทยทันที

            เพราะไทยเป็นประเทศหนึ่งที่เดิมกำหนดจะได้รับวัคซีนที่ผลิตในอิตาลี หนึ่งในสมาชิกอียู

            พอเขาทะเลาะกัน เราก็ได้รับผลข้างเคียงไปทันที

            นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทย บอกนักข่าวว่าได้ลงนามขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 ของแอสตราเซเนกา รุ่นการผลิตในประเทศอิตาลี เป็นระยะเวลา 1 ปี

            บริษัทได้ส่งเอกสารเกือบ 10,000 หน้ามาขอขึ้นทะเบียนในไทย

            เดิมมีกำหนดว่าวัคซีนชุดนี้จะส่งถึงไทยในเดือนกุมภานี้ 50,000 โดส

            และจะทยอยส่งที่เหลืออีก 150,000 โดส ภายในเดือนมีนาคมและเมษายน

            โครงการวัคซีนของอียูพยายามจะหลีกเลี่ยงการแก่งแย่งกันในสมาชิกทั้ง 27 ประเทศ

            คณะกรรมาธิการยุโรปใช้วิธีนี้ก็เพื่อให้ทุกชาติสมาชิกสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียมภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน

            เพราะไม่ต้องการให้ความไม่เท่าเทียมในกำลังซื้อของแต่ละชาติมีผลต่อการเข้าถึงวัคซีน

            อีกทั้งเมื่อรวมตัวกันซื้อปริมาณมากก็จะทำให้มีอำนาจต่อรองราคากับผู้ผลิตได้

            นอกจากโครงการร่วมกันซื้อกับเจ้านี้แล้ว บางประเทศก็สามารถแยกทำความตกลงกับผู้ผลิตวัคซีนรายอื่นได้เช่นกัน

            เช่นฮังการีก็ยังไปตกลงซื้อวัคซีน Sputnik-V ของรัสเซีย 2 ล้านโดส เป็นตัวอย่าง

            ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนไทยจะต้องเกาะติดข่าวสารเพื่อทำความเข้าใจ จะได้ตระหนักถึงความสลับซับซ้อนของปัญหาและแสวงหาทางออก

            เพื่อจะได้หาคำตอบต่อคำถามที่ว่า

            เราจะสร้างอำนาจต่อรองได้อย่างไร

            เราจะต้องลดการพึ่งพาต่างชาติในวิกฤติเช่นนี้อย่างไร

            เราจะสร้างภูมิคุ้มกันทั้งด้านวิจัย พัฒนา และเศรษฐกิจของเราอย่างไร

            ล้วนเป็นหัวข้อที่ต้องร่วมกันแสวงหาคำตอบอย่างสร้างสรรค์ เปิดเผย และโปร่งใสของคนไทยทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"