ความวุ่นวายการเลือกตั้งซ่อม เขต 3 จังหวัดนครศรีธรรมราช  บังเกิดตั้งแต่ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส. นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่แล้ว

                เพราะหลายคนแน่ใจว่าหวยออก “เทพไท” แน่ๆ และความจริงก็เป็นเช่นนั้น แม้คดีทุจริตนายก อบจ. จะยังไม่จบ อยู่ระหว่างศาลอุทธรณ์ตัดสิน และยังจะมีศาลฎีกาอีกชั้นก็ตาม

                ก่อนหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ภายในพรรคประชาธิปัตย์ก็ปล่อยข่าวหยั่งเชิงกันไปมาว่าบรรดามุ้งต่างๆ ในนครศรีฯ จะส่งคนของตัวเองลง ทั้งตระกูลบุณยเกียรติ, ตระกูลเดชเดโช, ตระกูลแก้วภราดัย, เชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรค และแน่นอนตระกูลเสนพงศ์

                แต่เมื่อศาลตัดสินว่า “เทพไท” พ้น ส.ส.แน่แล้ว กลับสงบเงียบเกินคาด จะมีก็แต่ผู้เสนอตัวปละปลาย แต่สุดท้ายก็ประกาศยุติไม่สมัครลงชิงเลือกตั้งซ่อม

                เช่น “ทนายเชาว์” ร่อนจดหมายเปิดผนึกถึงพรรคประชาธิปัตย์ มีใจความตอนหนึ่งว่า

            “ด้วยจังหวะเวลาที่จำกัดจำเขี่ย ประกอบกับตามระเบียบของกฎหมายพรรคการเมือง จะต้องมีการทำไพรมารีโหวตจากสมาชิกพรรคก่อนนำรายชื่อเข้าสู่กรรมการบริหารพรรคพิจารณา จึงทำให้การเข้าสู่เส้นทางยากขึ้น อีกทั้งไม่ต้องการให้เกิดภาพมีความขัดแย้งภายใน เพื่อไม่ให้กลายเป็นการซ้ำเติมความบอบช้ำของพรรค ที่มักเกิดขึ้นบ่อยๆ จากการไม่ลงตัวเกี่ยวกับผู้สมัคร กรณีนี้ถือว่าพื้นที่ว่างเป็นพื้นที่เดิมของนายเทพไท ต้องให้เกียรติเจ้าของพื้นที่มีส่วนพิจารณาคนที่เหมาะสม แม้จะไม่สบายใจที่ยังเกิดภาพทายาทวงศ์ตระกูลทางการเมืองก็ตาม ซึ่งอยากให้พรรคทบทวนอย่างจริงจัง ให้สนามเลือกตั้งเป็นโอกาสของคนที่มีความพร้อม ไม่ใช่เป็นโอกาสของคนที่ใกล้ชิดอำนาจ ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ผมจึงตัดสินใจไม่เสนอตัวให้พรรคพิจารณาลงรับสมัครเลือกตั้งในครั้งนี้”

                อย่างไรก็ตาม ศึกเลือกตั้งนี้อาจเป็นชนวนความขัดแย้งของฝ่ายรัฐบาลด้วยกันเอง ระหว่างพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แกนนำรัฐบาล กับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ตามธรรมเนียม พปชร.ทราบดีถึงมารยาททางการเมืองว่าค่ายปักษ์ใต้ยึดมาโดยตลอด จะถอยให้กับเจ้าของพื้นที่เดิม แต่รอบนี้ “พปชร.” แนวโน้มสูงขอเสียมารยาทที่เคยปฏิบัติต่อกันมา ประกาศส่งตัวแทนชิงพื้นที่เขต 3 จังหวัดนครศรีธรรมราช

                ขณะที่ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ในฐานะหัวหน้าพรรคค่ายสะตอ บอกเอาไว้อย่างมีนัย

                “สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าประชาธิปัตย์เป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ประชาธิปัตย์ก็จะไม่ส่งผู้สมัคร แต่จะให้เจ้าของที่นั่งเดิมที่เป็นพรรคร่วมเป็นผู้ส่ง ซึ่งประชาธิปัตย์เคยเป็นแกนตั้งรัฐบาลมาหลายครั้ง และได้ปฏิบัติมาเช่นนี้โดยตลอด สำหรับการเลือกตั้งซ่อมเขต 3 นครฯ เที่ยวนี้ พรรคได้มีมติส่งผู้สมัครแล้ว เพราะเป็นเจ้าของที่นั่งเดิม ซึ่งวันที่ 5 กุมภา.นี้ก็จะทราบชื่อผู้สมัครที่เป็นทางการ”

                อาจเป็นเพราะประเมินแล้วว่าทั้งกระแสพรรคประชาธิปัตย์และกระแสตระกูลเสนพงศ์แผ่วลง พร้อมๆ กับมั่นใจในอำนาจบารมี และคะแนนนิยมของตัวเอง พปชร.จึงได้ตัดสินใจส่ง “อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ” อดีต ส.ส.สอบตก เมื่อครั้งการเลือกตั้งใหญ่ปี 62 ลงชิงซ้ำอีกรอบ

                ส่วนครอบครัว “เสนพงศ์” ส่ง “พงศ์สินธุ์ เสนพงศ์” อดีตรองนายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช และน้องชายลำดับที่ 7 ป้องกันแชมป์ ปัจจุบันอายุ 51 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะมนุษยศาสตร์ (สาขาสื่อสารมวลชน) และปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

                ด้านประสบการณ์การทำงาน เคยเป็นรองประสานสาขาพรรคประชาธิปัตย์เขต 1 จังหวัดนครศรีธรรมราช เคยเป็นเลขานุการประจำคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการกฎหมาย ยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน เลขานุการนายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช รองนายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช ผู้ช่วยดำเนินงาน ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราช และผู้ชำนาญการ ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราช

                โดยขณะนี้ “พงศ์สินธุ์” ได้รับการรับรองจากที่ประชุมสาขาพรรคเรียบร้อย จากนี้จะนำรายชื่อเสนอต่อคณะกรรมการบริหารพรรค เพื่อมีมติให้ความเห็นชอบในวันที่ 5 ก.พ.นี้ และจะได้สมัครรับเลือกตั้ง ต่อ กกต. ระหว่างวันที่ 11-15 ก.พ.ต่อไป

                รอบนี้คือศึกแห่งศักดิ์ศรีอีกศึกหนึ่งที่น่าจับตา พปชร.หวังจะเจาะภาคใต้เพิ่มอีก 1 ที่นั่ง ส่วน ปชป.ก็ต้องรักษาที่นั่งไม่ให้เหลือน้อยไปมากกว่านี้ หาก ปชป.ยังครองตำแหน่งได้เหมือนเดิม ก็เสมือนเป็นการปรามการขยายอิทธิพลทางการเมืองของ พปชร.

                แต่งานนี้บอกเลยว่าไม่ง่าย ฝ่ายใดที่พร้อมด้วยอำนาจ ทุน และคะแนนนิยมมากกว่ากัน ฝ่ายนั้นเข้าวิน!!!