จีดีพี64เหลือ2.8 ลุ้นผลฉีดวัคซีน ฟื้นการท่องเที่ยว


เพิ่มเพื่อน    

  “คลัง” หั่นจีดีพีปี 64 เหลือ 2.8% ต่อปี หลังทนพิษโควิด-19 ไม่ไหว ท่องเที่ยวยังอ่วม บาทแข็งโป๊ก น้ำมันพุ่งกดดันหนัก ลุ้นวัคซีนแผลงฤทธิ์หนุนต่างชาติกลับมาท่องเที่ยวช่วงครึ่งปีหลัง หวังอานิสงส์ “คนละครึ่ง-เราชนะ” ช่วยประคองเศรษฐกิจ  

    เมื่อวันที่ 28 มกราคม นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า คลังได้ปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 2563 จะขยายตัวดีขึ้นที่ระดับติดลบ 6.5% ต่อปี จากคาดการณ์เดิมที่ ติดลบ 7.7% ต่อปี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ที่อยู่ในเกณฑ์ดี รวมถึงรัฐบาลมีการผลักดันมาตรการฟื้นฟูแลเยียวยาออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เศรษฐกิจไทยมีทิศทางฟื้นตัวขึ้นได้ต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีที่ผ่านมา
     ขณะที่การส่งออก ขยายตัวติดลบ 6.6% ดีขึ้นจากคาดการณ์ครั้งก่อนหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักฟื้นตัวได้เร็วและดีกว่าที่คาด หลังจากหลายประเทศมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่วนการนำเข้า ติดลบ 12.5% การบริโภคภาคเอกชน ติดลบ 0.9% ต่อปี การลงทุนภาคเอกชน ติดลบ 8.9% ต่อปี ปรับตัวดีขึ้นจากคาดการณ์ครั้งก่อนหน้า  
    ส่วนเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4/2563 ยังมีทิศทางที่ขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 3/2563 หลังจากเศรษฐกิจในไตรมาสดังกล่าวขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดการณ์ จึงเป็นแรงส่งสำคัญ
     นางสาวกุลยากล่าวว่า สำหรับปี 2564 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 2.8% ต่อปี โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 2.3-3.3% ต่อปี ปรับลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 4.5% ต่อปี เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในหลายประเทศ รวมถึงไทย ได้ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทย การเดินทางระหว่างประเทศ และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย
    “ตัวเลขจีดีพีปี 2564 ที่ปรับตัวลดลงจากประมาณการครั้งก่อนหน้าค่อนข้างมาก เนื่องจากในช่วงที่มีการประมาณการครั้งก่อนยังไม่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ แต่เมื่อพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยที่เข้มแข็ง ทำให้ยังเชื่อมั่นว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะยังฟื้นตัวได้ โดยจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่ง และฐานะการคลังที่มีความมั่นคง มีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ทำให้กระทรวงการคลังมีความพร้อมที่จะดำเนินนโยบายต่างๆ เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในระยะต่อไป” นางสาวกุลยากล่าว
    นางสาวกุลยากล่าวอีกว่า โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 วงเงิน 2.25 หมื่นล้านบาท จะทำให้มีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท และจะมีส่วนช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2564 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.1% ขณะที่โครงการเราชนะ วงเงิน 2.1 แสนล้านบาท จะมีส่วนช่วยทำให้เศรษฐกิจในปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.5-0.6%
    ทั้งนี้ ปัจจัยที่มีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก 15 ประเทศที่ฟื้นตัวดีขึ้น โดยปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวที่ 5.2% และแนวโน้มเงินบาทที่ปีนี้คาดว่าจะยังแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ระดับ 29.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 29.69-30.11 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือแข็งค่าขึ้น 4.5% จากปี 2563 ซึ่งเป็นผลมาจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติเข้าสู่ประเทศตลาดเกิดใหม่ หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0-0.25% ต่อเนื่องในปีนี้ รวมถึงเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่ง ทำให้มีความสามารถรองรับความผันผวนของปัจจัยภายนอกได้เป็นอย่างดี
     นอกจากนี้ คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะทรงตัวที่ระดับ 50.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 19.5% จากปีก่อน ตามความต้องการใช้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นหลังจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงคาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้การเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกจะเริ่มกลับมาได้ หลังจากมีการแจกจ่ายวัคซีนและสต๊อกน้ำมันที่ปรับตัวลดลง
    สำหรับคาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างประเทศในปี 2564 ลดลงมาอยู่ที่ 5 ล้านคน ลดลง 25.8% จากคาดการณ์เดิมที่ 8 ล้านคน รายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างประเทศอยู่ที่ 2.6 แสนล้านบาท ลดลง 22.1% เนื่องจากเป็นการประเมินตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ทั้งในไทยที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ และในหลายประเทศทั่วโลก คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ขณะที่ปี 2563 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศอยู่ที่ 6.7 ล้านคน ลดลง 83.2% รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ อยู่ที่ 3.3 แสนล้านบาท ลดลง 82.6%
    ขณะที่การเบิกจ่ายเงินจากพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงินฉุกเฉิน วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ที่ปัจจุบันมีการอนุมัติวงเงินไปแล้ว 7.11 แสนล้านบาท คิดเป็น 71.2% และมีการเบิกจ่ายแล้ว 3.71 แสนล้านบาท คิดเป็น 52.1% ประเมินว่าในปีงบประมาณ 2564 จะมีเม็ดเงินจาก พ.ร.ก.กู้เงินฉุกเฉิน เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆ 5.07 แสนล้านบาท จากปีงบประมาณ 2563 อยู่ที่ 3.5 แสนล้านบาท และในปีงบประมาณ 2565 จะมีการเบิกจ่ายเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีก 1.4 แสนล้านบาท
     นายทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) คาดเศรษฐกิจไทย (GDDP) ปีนี้จะเติบโต 3.1% โดยมองว่าการเริ่มให้มีการฉีดวัคซีนไวรัสโควิด-19 น่าสนใจ เนื่องจากคาดว่าภาครัฐจะสามารถฉีดวัคซีนได้ 50% ของจำนวนประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งจะเริ่มฉีดได้ในวันที่ 14 ก.พ.นี้ และอาจจะมีจำนวนผู้ฉีดวัคซีนมากกว่าที่ภาครัฐบาลคาดการณ์ไว้ หากประชาชนบางส่วนเข้ารับการฉีดวัคซีนผ่านโรงพยาบาลเอกชน โดยมองว่าวัคซีนจะช่วยทุกๆ อย่างปรับตัวดีขึ้น.
   
     


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"