แค่สัปดาห์แรกที่โจ ไบเดน มานั่งทำเนียบขาวก็ต้องเจอกับแรงกดดันจากจีนแผ่นดินใหญ่ทันที
วันที่ไบเดนทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ปักกิ่งประกาศคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐ 28 คน รวมถึงอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศไมค์ ปอมเปโอ
ทำให้ว่าที่รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ แอนโทนี บลิงเคน ต้องออกมาตอบโต้จีนทันควัน
แม้รัฐบาลไบเดนกับทรัมป์จะมีความเห็นต่างกันมากมายเกือบทุกเรื่อง แต่ท่าทีต่อจีนของวอชิงตันโดยพื้นฐานก็เหมือนเดิม
นั่นคือสหรัฐเห็นจีนเป็นภัยคุกคามและจะต้องสกัดการสยายอิทธิพลของจีนทุกวิถีทาง
บลิงเคนยืนยันว่ารัฐบาลไบเดนยังคงจะคัดค้านนโยบายกดขี่ประชาชน โดยเฉพาะชนกลุ่มน้อยมุสลิมในมณฑลซินเจียง
และจะไม่ให้บริษัทอเมริกาขายเทคโนโลยีที่จะทำให้ทางการจีนสามารถนำไปใช้ลิดรอนเสรีภาพของประชาชนของตน
ผ่านมาอีกไม่กี่วัน จีนกับอเมริกาก็มีอันจะต้องเผชิญหน้ากันเหนือน่านฟ้าและน่านน้ำรอบๆ ไต้หวัน
จีนส่งเครื่องบินรบไปลาดตระเวนเหนือน่านฟ้าไต้หวันสองวันซ้อนเมื่อวันเสาร์และอาทิตย์ก่อน
ไต้หวันอ้างว่าเป็นการละเมิดน่านฟ้าที่เขาประกาศเป็นเขต “ต้องแสดงตน” ของต่างชาติ
จีนไม่สน บอกว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน จะส่งเครื่องบินรบไปบินว่อนเพื่อสอดส่องความเป็นไปได้ตลอดเวลา
จะโดยบังเอิญหรือไม่ก็ตาม สหรัฐก็ส่งกองเรือรบนำโดยเรือบรรทุกเครื่องบิน Theodore Roosevelt แล่นเข้าทะเลจีนใต้ในช่วงจังหวะเดียวกัน
วอชิงตันออกแถลงการณ์ขอให้ปักกิ่งคุยกับไทเปอย่างสันติ ไม่ควรจะมีการข่มขู่คุกคามด้วยอาวุธ
จีนตอบโต้ว่าสหรัฐต้องเคารพในนโยบาย “จีนเดียว” ไม่ควรจะเข้ามายุ่มย่ามในย่านนี้
ต่อมาอีกสองวัน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พูดในงานประชุมประจำปีของ World Economic Forum (ปีนี้จัดออนไลน์เพราะโควิด) ว่าประเทศทั่วโลกควรจะต้องหยุดวิธีคิดที่จะทำ “สงครามเย็น” เพราะจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับใคร
ผู้นำจีนเรียกร้องให้ทุกฝ่ายสร้างความเชื่อมั่นด้วยการ “สื่อสารแบบยุทธศาสตร์”
คำนี้แปลว่าอะไรไม่ชัดแจ้ง แต่น่าจะตีความได้ว่า สี จิ้นผิง ต้องการจะให้มีการ “พูดจากัน” มากกว่าจะ “แสดงแสนยานุภาพ” ใส่กัน
คำว่า “ยุทธศาสตร์” ถูกใช้บ่อยมากในช่วงนี้
วันเดียวกับที่ สี จิ้นผิง พูดเรื่อง “การสื่อสารแบบยุทธศาสตร์” โฆษกทำเนียบขาวคนใหม่ เจน พลาสกี บอกว่า
“สหรัฐกับจีนกำลังอยู่ในสภาวะการแข่งขันแบบยุทธศาสตร์...”
วอชิงตันมองว่าจีนมีพฤติกรรมที่กระทบคนงานอเมริกันขัดขวางเทคโนโลยีของสหรัฐ
ไม่แต่เท่านั้น โฆษกทำเนียบขาวยังบอกว่าจีนได้ “คุกคามพันธมิตรและอิทธิพลของสหรัฐในองค์กรระหว่างประเทศ”
เห็นได้ชัดว่าแนวทางของสองยักษ์ใหญ่กำลังเข้าสู่โหมดของการ “แข่งขัน” มากกว่า “ความร่วมมือ”
สี จิ้นผิง วิพากษ์แนวทางของสหรัฐในยุคทรัมป์ที่พยายามจะสร้างบรรยากาศสงครามเย็น
จีนบอกว่าสหรัฐใช้วิธีข่มขู่คุกคามชาติอื่น
จีนไม่เห็นด้วยที่สหรัฐพยายามจะแยกโลกเป็นสองซีก หรือ decoupling
จีนต่อต้านการใช้วิธีการคว่ำบาตรชาติอื่นและโดดเดี่ยวบางประเทศไปจากสังคมโลก โจ ไบเดน ประกาศว่าจะใช้ระบบ “พหุภาคี” (multilaterism) เพื่อส่งเสริมการค้าและการพูดจาระหว่างกัน
ซึ่งเป็นคำเดียวกับที่ สี จิ้นผิง ใช้ในคำปราศรัยที่เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกหันมาร่วมมือกันเพื่อสร้างโอกาสของการค้าและการลงทุนต่อกัน
ด้วยการ “รื้อกำแพงที่ขัดขวางการค้า, การลงทุนและการพัฒนาเทคโนโลยี”
โฆษกทำเนียบขาวบอกว่า สหรัฐภายใต้การนำของโจ ไบเดน จะมี “แนวทางใหม่” ต่อจีน
เพราะจีนมีความเป็นเผด็จการในประเทศมากขึ้น และมีความคึกคักในการขยายอิทธิพลในต่างประเทศ
เธอบอกว่า “เรากำลังอยู่ในสภาวะการแข่งขันทางยุทธศาสตร์กับจีนอย่างจริงจัง...และนั่นจะเป็นหลักการสำคัญในการนิยามแนวทางของเราในศตวรรษที่ 21 นี้”
ฟังความรอบข้างแล้วจะเห็นว่าสองยักษ์ใหญ่กำลังเริ่ม “งัดข้อ” กันตั้งแต่ยกแรกของมวยคู่ใหม่...ระหว่างไบเดนกับสี จิ้นผิง...ทีเดียว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |