'อดีตรองอธิการฯมธ.'ลากไส้'ก้าวหน้า-ก้าวไกล'จุดหัว'3นิ้วตาม'มุ่งโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์


เพิ่มเพื่อน    


28 ม.ค.64- รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ระบุว่า“แค่สงสัยการทำงานเรื่องวัคซีนของรัฐบาลก็กลับถูกดำเนินคดี คุณคิดว่าที่เขากล่าวหาในแต่ละจุดนั้นเข้าข่ายความผิดจริงหรือไม่? ไปย้อนดูแล้วช่วยตัดสินกันหน่อยครับ”

คุณธนาธรโพสต์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วใน face book หลังจากออกมา “พูดสด” หัวข้อ “ วัคซีนพระราชทาน ใครได้ใครเสีย”

ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า ยังไม่ทันจะต้องคิดอะไร ก็รู้สึกว่า ข้อความนี้บิดเบือนเสียแล้วครับ เพราะคุณธนาธรไม่ใช่แค่ “สงสัย” การทำงานเรื่องวัคซีนของรัฐบาล แต่คุณธนาธรพูดและโยงไปถึงอะไรต่ออะไรมากกว่านั้นมาก

ผมย้อนกลับไปดูอีกครั้งแล้วขอสรุปเหมือนเดิมว่า คุณธนาธรตั้งข้อกล่าวหา สรุปความได้ง่ายๆดังนี้

“ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาตัดสินใจทำข้อตกลงซื้อวัคซีนโควิด จากบริษัท Astra Zeneca เป็นหลัก เพียงบริษัทเดียว โดยให้บริษัท Siam Bioscience ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 10 เป็นเจ้าของ เป็นผู้ผลิตวัคซีนในประเทศไทยให้กับ Astra Zeneca 

รัฐบาลเลือกบริษัท Siam Bioscience โดยไม่ได้มีการพิจารณาให้โอกาสบริษัทอื่นๆ รวมทั้งองค์การเภสัช ทั้งที่บริษัท Siam Bioscience รวมทั้งบริษัทลูกทุกบริษัท ยังไม่เคยประสบผลสำเร็จทางธุรกิจเลย มีตัวเลขขาดทุนทุกปี นอกจากนี้รัฐบาลยังให้เงินช่วยเหลือ บริษัท Siam Biosciene อีก 1,490 ล้านบาทด้วย

ผลจากการทำเช่นนี้คือ ประชาชนได้รับวัคซีนช้าเกินไป และครอบคลุมจำนวนประชาชนได้น้อย ในขณะที่ประเทศอื่นๆเขาติดต่อหลายบริษัท และฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้เร็วกว่า ครอบคลุมได้มากกว่า ดังนั้นประเทศเหล่านี้จะปลอดจากโควิดได้ก่อนประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสทางเศรษฐกิจไป”

นั่นคือข้อกล่าวหาชัดๆนะครับ ส่วน implication หรือนัยยะที่ต้องอ่านระหว่างบรรทัด คือ

“รัฐบาลทำเช่นนี้ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อบริษัท Siam Bioscience ซึ่งไม่เคยประสบความสำเร็จในทางธุรกิจ ที่ตั้งขึ้นจากพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 และในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงเป็นเจ้าของ และยังช่วยเสริมพระบารมีด้วยว่า วัคซีนนี้คือ “วัคซีน พระราชทาน” โดยละเลยประโยชน์ที่ประชาชนควรจะได้รับ ประชาชนจึงกลายเป็นผู้เสียประโยชน์ และที่ได้ประโยชน์คือ บริษัท Siam Bioscience”

นั่นคือข้อกล่าวหาของคุณธนาธร ทั้งที่ชัดเจนและที่ต้องอ่านระหว่างบรรทัด

ล่าสุด คุณธนาธรก็ยังไม่หยุด ยังคงออกมาตั้งคำถามที่ความจริงมีคนทั้งที่เป็นแพทย์และผู้ที่รู้จริงอื่นๆ ออกมาอธิบายไปทุกประเด็นแล้ว แต่คุณธนาธรยังพยายามไม่เข้าใจ ยังคงยืนยันว่า จะต้องให้ประชาชนได้รับวัคซีนเร็วที่สุด ครอบคลุมจำนวนประชากรให้ได้มากที่สุด โดยไม่กล่าวถึงประเด็นเรื่องความเสี่ยงของวัคซีนที่มีเวลาการพัฒนาและทดสอบน้อยมาก และไม่พูดถึงประเด็นเรื่องการจัดการปัญหาโควิดได้ดีของประเทศไทย จนมีผู้ติดเชื้อน้อยมาก แต่กลับกล่าวหาว่ารัฐบาลประมาท และ ยัง“ไม่สามารถจัดการกับการแพร่ระบาดได้อย่างเบ็ดเสร็จตามที่คาดไว้” 
คุณธนาธรยังอดย้ำข้อกล่าวหาเดิมไม่ได้ โดยเขียนข้อความว่า

“ แต่สิ่งที่ผมกำลังตั้งคำถามคือกระบวนการคัดเลือกบริษัทเอกชนรายใดรายหนึ่งมาทำภารกิจนี้ ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นจำนวนมาก โดยไม่มีการเปรียบเทียบคุณสมบัติกับรายอื่นๆ อย่างเป็นระบบ เป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่”

ยังคงต้องการโยงไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ

ผมได้คุยกับหลานซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัท โอเวชั่น สตูดิโอ จำกัด ซึ่งเคยไปถ่ายทำวิดีโอให้กับบริษัท Siam Bioscience เขาเล่าว่า บริษัทนี้มีแต่คนเก่งๆ ทุกคนทำงานด้วยใจ และมีความภูมิใจที่ทำงานที่นี่

เมื่อพิจาณาจากการกระทำและเจตนาของคุณธนาธร วิญญูชนที่แม้ไม่ใช่นักกฎหมายน่าจะบอกได้ว่า เข้าข่ายความผิดตามประมาลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่

เป็นที่น่าสังเกตุว่า เมื่อปีที่แล้ว ม็อบ 3 นิ้วรุกหนัก โดยคณะก้าวหน้าไม่ได้เปิดตัวมากไปกว่าการไปปรากฏตัวในม็อบ และการให้ความเห็นสนับสนุนเมื่อมีโอกาส แต่หลังจากปีใหม่เป็นต้นมา บทบาทของคณะก้าวหน้าเปลี่ยนไป

ช่วงนี้คณะก้าวหน้า เป็นผู้ออกหน้าด้วยการเปิดประเด็นก่อน เริ่มจากคุณธนาธรเปิดประเด็นเรื่อง “วัคซีนพระราชทาน” 

จากนั้นอ.ปิยบุตร ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ตั้งคำถามเชิงคัดค้านเรื่องโครงการราชทัณฑ์ปันสุขของพระเจ้าอยู่หัว ว่าไม่มีกฎหมายรองรับ และออกมาตั้งคำถามว่า เหตุใดพระมหากษัตริย์จึงไม่ต้องปฏิญานตนในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เหมือนอย่างประธานาธิบดี หรือประมุขของประเทศอื่นๆ

จากนั้น ม็อบขนาดเล็กในยามโควิดก็เกิดขึ้น เพนกวิน ไปประท้วงบริษัท Siam Bioscience ที่สำนักงานของบริษัท ด้วยประเด็นเดียวกัน และข้อมูลชุดเดียวกันกับของคุณธนาธร  ไมค์ ระยอง ก็ไปประท้วงที่กระทรวงการคลัง ให้ตัดงบประมาณที่ให้พระมหากษัตริย์ มาช่วยประชาชนในช่วงโควิดแพร่ระบาด 

รุ้ง กับ ทราย ก็เอาผ้าอนามัยและชุดชั้นในไปให้ทัณฑสถานหญิง เรือนจำคลองเปรม เหมือนเป็นการประชด แต่ได้รับการปฏิเสธไม่ให้เข้าไปภายในเรือนจำโดยเจ้าหน้าอ้างว่าเป็นช่วงการแพร่ระบาดของโควิด

ยอมรับได้แล้วว่า คณะก้าวหน้า พรรคก้าวไกล และแกนนำม็อบ 3 นิ้ว เคลื่อนไหวร่วมกัน ทำงานสอดรับกันเป็นทีม จะเรียกว่าเป็นเนื้อเดียวกันก็ว่าได้

ภารกิจของคณะก้าวหน้าและม็อบ 3 นิ้วขณะนี้ ดูเหมือนจะมุ่งอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ จะโจมตีในทุกโอกาส ในทุกช่องทางที่มี ส่วนพรรคก้าวไกลก็ไปมุ่งเน้นเรื่องการเสนอแก้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 
เลิกพูดได้แล้วว่าทำเพราะความหวังดีต่อสถาบันเพราะคนที่เขาหวังดีต่อกันเขาไม่ปฏิบัติต่อกันแบบนี้ 
ยิ่งไม่ต้องอ้างว่า ทำเพื่อประชาชน 

หากผลการเลือกตั้งนายก อบจ ที่ผ่านมายังไม่ทำให้เข้าใจอีกว่า ประชาชนต้องการอะไร ในการเลือกตั้งครั้งต่อๆไป ทุกๆครั้ง ในทุกระดับ ประชาชนจำเป็นจะต้องส่งสัญญานและพิสูจน์กันให้ชัดกว่านี้ จนกว่าพวกเขาจะเข้าใจ และเลิกหาเรื่องตอแยกับองค์พระมหากษัตริย์ทุกๆพระองค์เสียที.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"