ดูเหมือนสัปดาห์นี้ตัวเลขผู้ติดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 ยังคงน่าหวาดวิตกอยู่ต่อเนื่อง แม้จะมีวัคซีนหลากหลายยี่ห้อออกมา และหลายประเทศได้มีการฉีดให้กับประชากรแล้ว โดยเฉพาะใน “อาเซียน” ก็น่าตกใจอย่างยิ่ง เมื่อ “อินโดนีเซีย” ภายใต้บังเหียนของ “โจโก วิโดโด” ซึ่งกลายเป็นประเทศที่ 19 ที่มียอดผู้ติดเชื้อเกินระดับ 1 ล้านคน โดยล่าสุดคือมีผู้ติดเชื้อถึง 1,012,350 ราย และเสียชีวิต 28,468 ราย ทั้งที่ “โจโกวี” เพิ่งจะประเดิมฉีดวัคซีนไปเมื่อ 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา...๐ ขณะที่ล่าสุด “ฟิลิปปินส์” ของ “ประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต” ก็ไม่น่าพิสมัยเสียเท่าใด เพราะอยู่ในอันดับที่ 32 โดยการติดเชื้อรายวันยังเกิน 2 พันรายอีก ซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อก็อยู่ที่ 5.1 แสนราย ในขณะที่ประเทศไทยเองนั้นอยู่ที่ 121 ของโลก มีผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ที่ 819 ราย ซึ่งตัวเลขในสัปดาห์นี้ต้องบอกว่าน่าวิตกอย่างยิ่ง เพราะ ตัวเลขเกิน 500 มาหลายวันแล้ว ซึ่งก็เป็นผลมาจากการตรวจค้นเชิงรุกนั่นเอง...๐

 งานนี้ทำให้ข้อเขียนบนเฟซบุ๊กของ “รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์” คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่โพสต์ถึงสถานการณ์โควิด-19 น่าคิดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในประเด็นที่ตรวจเชิงรุกแล้วเจอเยอะนั้นไม่ใช่สัญญาณที่ดีเอาเสียเลย เพราะแปลว่าก่อนหน้านี้เราไม่ได้ตรวจมากเพียงพอและมาตรการไม่ได้เคร่งครัดเพียงพอ!!! พร้อมฟันธงว่า "วิกฤติ" มีโอกาสจะรุนแรงมากขึ้น...๐ ขณะเดียวกัน “นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน” โฆษก ศบค. ได้แจ้งถึงผลประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นประธาน ซึ่งก็เป็นข่าวดีว่าจะ เหลือจังหวัดควบคุมสูงสุดหนึ่งเดียวคือ “สมุทรสาคร” และจะมีการผ่อนคลายมาตรการมากขึ้น โดยเฉพาะร้านค้า ร้านอาหารที่จะเปิดให้นั่งได้ถึง 5 ทุ่ม จากเดิมที่ให้เพียง 3 ทุ่ม ทั้งนี้ก็ต้องรอที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ที่มี “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกฯ และ รมว.กลาโหม นั่งหัวโต๊ะเคาะในวันที่ 29 ม.ค.นี้...๐

 ต้องบอกว่า มาตรการเยียวยา “มนุษย์เงินเดือน” ที่ ครม.ลุงตู่เคาะออกมาเมื่อวันอังคารที่ 26 ม.ค. พัดลมยังส่ายหน้าอย่างมาก เพราะไม่เป๊ะปังเหมือนมาตรการเราชนะ หรือมาตรการคนละครึ่งแต่ประการใด ดูแล้วต้องบอกว่ายิ่งกว่ามาตรการเมียน้อย หรือมาตรการมีแบบเสียไม่ได้ ทั้งการเลื่อนการยื่นจ่ายภาษีไปจนถึงสิ้น มิ.ย. หรือการหั่นเงินประกันสังคม 2 เดือน เพราะ ทั้งหลายทั้งมวลก็เป็นเงินในกระเป๋าของ “มนุษย์เงินเดือน” ทั้งสิ้นอยู่แล้ว ที่สำคัญยังน้อยนิดอย่างมาก...๐

 ดังนั้นเมื่อ “กรณ์ จาติกวณิช” หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์เสนอแนะแนวทางการยกปี 2563 ทั้งหมด คืนให้ทุกคนที่มีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 40,000 บาท หรือผู้เสียภาษีในอัตราไม่เกิน 10% เพื่อไปกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศ และชดเชยผู้ประกอบการรายเล็กหรือเอสเอ็มอีที่มีรายได้ปี 63 ลดลง ก็เรียกเสียงสนับสนุนขึ้นมาอย่างมาก เพราะเป็นมาตรการเห็นน้ำเห็นเนื้อ เพราะอย่าลืมว่า “โควิด” ทั้งรอบแรกและรอบใหม่นั้น ผู้อยู่ในประกันสังคมตามมาตรา 33 แทบไม่เคยได้รับการเหลียวแลเลย โดยอ้างเพียงอย่างเดียวว่าจะได้รับชดเชยเมื่อบริษัทยกเลิกหรือเจ๊งเท่านั้น ทั้งที่ความจริง “ต้นทุน” การดำเนินชีวิตไม่ว่าจะเป็นใครก็ได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้นทั้งนั้นนะจ๊ะ...๐

 ส่วนข้อเสนอของ “พิชัย นริพทะพันธุ์“ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่เสนอแนวทางเยียวยาเช่นกันนั้น ต้องบอกว่าเป็นการเสนอแบบเอาดีเข้าตัวถ่ายเดียว โดยเฉพาะการแจกเงินสด 5-6 พันรายนั้น ต้องไม่ลืมว่า “เพื่อไทย” เป็นคนยี้และแดกดันมาตรการนี้แท้ๆ ที่สำคัญก็ไม่บอกด้วยว่าจะแจกใคร อย่างไร แล้วที่ตลกเข้าไปอีกคือการบอกจะเก็บเงินคนรวยมากขึ้น!!! พิโธ่! กฎหมายแบบนี้เข้าสภาผู้แทนราษฎรจะผ่านหรือจ๊ะ เอาแค่ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ถ้าไม่ใช่รัฐบาล “ลุงตู่” อยากถามว่า “ดอง” กันมากี่สิบชาติแล้ว แล้วที่ขำไม่ออกเข้าไปอีกคือ การเลิกจับกุมและเลิกดำเนินคดีนักศึกษาและประชาชน พระเจ้าจอร์จ คนทำผิดกฎหมายก็นิรโทษกรรมมันช่วยโควิดตรงไหนมิทราบ แล้วที่ต้องร้องจ๊ากเข้าไปใหญ่คือ การไปขอก๊อปปี้แนวคิดทางเศรษฐกิจของผู้นำเวียดนามเพื่อนำมาปรับปรุงแนวคิดการบริหารเศรษฐกิจของไทย!!! โอ้มายก๊อด นี่หรือคือหัวหอกเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยที่หวังจะอุ้มชูลงสนามการเลือกตั้งครั้งหน้า...๐

ทิ้งท้ายด้วยข่าวเลือกตั้งซ่อมที่กำลังจะมาถึง เพราะ “ศาลรัฐธรรมนูญ” มีคำวินิจฉัยให้ “เทพไท เสนพงศ์” กลายเป็นอดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แล้ว โดยให้พ้น ส.ส. ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.2563 หลังต้องคำพิพากษาของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช เรียกว่า “สามเกลอสายล่อฟ้า” ในวันนี้ต่างแตกฉานซ่านเซ็นกันไปเรียบร้อยโรงเรียนมาร์คซะงั้น...๐.

...ท.ศักดิ์