"อนุทิน" แจง "ธนาธร" ละเอียดยิบ 7 ข้อ ทำไมต้องเป็นแอสตร้าเซนเนก้า-สยามไบโอไซเอนซ์ เผยสาเหตุไม่เข้าร่วมวัคซีนของ COVAX เพราะไทยเป็นประเทศฐานะปานกลาง หากร่วมต้องซื้อราคาแพง เชื่อ "ทอน" ไม่กล่าวถึงวัคซีนพระราชทานอีกเพราะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องแล้ว ด้าน "หมอประสิทธิ์" เชิญชวนฉีดวัคซีนเพื่อช่วยชาติ ครอบคลุมร้อยละ 70 โควิดจะถูกขจัดไปโดยปริยาย
เมื่อวันที่ 26 มกราคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตอบคำถามนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในประเด็นเรื่องการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า "ที่นายธนาธรไม่กล่าวถึงวัคซีนพระราชทาน และไม่พาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์อีก ซึ่งเข้าใจว่าได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นความจริงแล้ว"
รมว.สาธารณสุขระบุว่า "นายธนาธรเป็นนักธุรกิจ มีประสบการณ์การเจรจาทางธุรกิจกับบริษัทต่างชาติมาแล้ว น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดี กว่าที่เราจะเจรจาบรรลุข้อตกลงที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทยและคนไทย ต้องใช้เวลามากพอสมควร เมื่อมีความชัดเจนเกิดขึ้น เราได้แถลงให้ประชาชนทราบอย่างเปิดเผย ถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ที่มีส่วนร่วมในการทำงานนี้เพื่อการจัดหาวัคซีนมาให้คนไทยทุกคน ด้วยความปลอดภัย และยังสร้างความมั่นคงด้านวัคซีนให้แก่ประเทศไทย ในฐานะผู้รับการถ่ายทอดเทคโนยีการผลิตวัคซีนไวรัสโคโรนา 2019 เพียงประเทศเดียวในภูมิภาคอาเซียน
เราเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนทุกราย ที่ผลิตวัคซีนออกมาจำหน่ายในขณะนี้ การเจรจาจัดหาวัคซีนมีข้อจำกัดมากมาย ทั้งจากเงื่อนไขของผู้ผลิต และจากระบบกฎหมายไทย และ งบประมาณของประเทศไทยเอง
1.ผู้ผลิตทุกรายต้องการให้เราจ่ายเงินจองซื้อวัคซีน ในขณะที่เขาเพิ่งเริ่มต้นการทดลอง ยังไม่มีการผลิตวัคซีนจริง หากเขาผลิตไม่สำเร็จ เงินที่เราจองซื้อจะไม่ได้รับคืน ถือว่าเป็นการลงทุนร่วมกัน รับความเสี่ยงร่วมกัน กฎหมายไทยไม่อนุญาตให้หน่วยงานของรัฐจ่ายเงินจองซื้อสินค้าที่ยังไม่มีการผลิต และการมีเงื่อนไขว่า หากไม่สำเร็จจะไม่ได้รับเงินคืน ก็ไม่สามารถทำได้ แม้จะมีเงื่อนไขว่า ถ้าเราจ่ายเงินจองซื้อล่วงหน้า หากเขาผลิตวัคซีนได้สำเร็จ เราจะมีโอกาสซื้อได้ในราคาต่ำกว่าราคาที่เราซื้อเมื่อเขาผลิตได้แล้วก็ตาม หน่วยงานของรัฐไม่สามารถทำสัญญาเช่นนั้นได้
2.เมื่อพิจารณาข้อมูลด้านเทคนิคการผลิตและการจัดการวัคซีนจากแหล่งผลิตไปจนถึงประชาชนแล้ว เราต้องเลือกวัคซีนที่มีความเหมาะสมกับประเทศไทย และคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนสูงสุด รวมถึงการใช้เงินงบประมาณซึ่งเป็นภาษีของประชาชนอย่างคุ้มค่าที่สุด จึงเป็นที่มาของการเลือกซื้อวัคซีนจากบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีราคาที่ต่ำกว่าวัคซีนของผู้ผลิตรายอื่น และเหมาะสมกับการจัดการฉีดในประเทศไทยมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับวัคซีนอื่นๆ
3.การได้รับข้อเสนอจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าฯ ใช้โรงงานในประเทศไทย ซึ่งบริษัทเลือกเอง เป็นฐานการผลิตวัคซีนของบริษัท เพื่อจำหน่ายให้แก่ภูมิภาคอาเซียน อีกด้านหนึ่งต้องนับเป็นความมั่นคงทางด้านวัคซีนของประเทศไทย เป็นสิทธิประโยชน์ที่ดีกว่าหลายๆ ประเทศในภูมิภาคอาเซียน ในฐานะผู้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีน ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุน เพื่อศักยภาพของประเทศไทย เช่นเดียวกับที่รัฐบาลให้การสนับสนุนผู้ผลิตวัคซีนในประเทศไทยหลายราย ทั้งสถาบันการศึกษา และผู้ประกอบการภาคเอกชน เพื่อพัฒนาวัคซีนของคนไทยตั้งแต่ต้นน้ำ
4.การจัดหาวัคซีนในระยะแรก จำนวน 26 ล้านโดส จากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าฯ และจำนวน 2 ล้านโดส จากบริษัทไซโนแวคฯ เพื่อฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยง เป็นจำนวนที่คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติได้วิเคราะห์แล้วว่ามีความเหมาะสมกับสถานการณ์ในประเทศไทย ซึ่งไม่ได้มีการระบาดรุนแรง และไม่มีผู้ป่วย หรือมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากเช่นในบางประเทศ ซึ่งมีความจำเป็นต้องเร่งฉีดวัคซีนโดยด่วน แม้ว่าจะเกิดผลข้างเคียงที่ยังไม่รู้แน่ชัด
อย่างไรก็ตาม สถาบันวัคซีนแห่งชาติ โดยคำแนะนำของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ได้จองซื้อวัคซีนของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าฯ เพิ่มขึ้นอีก จำนวน 35 ล้านโดส รวมเป็น 63 ล้านโดส สำหรับประชากร 31.5 ล้านคน คิดเป็น 63% ของประชากรที่ควรรับวัคซีนได้ ซึ่งมีประมาณ 50 ล้านคน (ตัดกลุ่มอายุต่ำกว่า 18 ปี และหญิงตั้งครรภ์ออก) ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนมากพอที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้กับคนไทย
ประกอบกับจำนวนวัคซีนที่จะทยอยส่งมอบต้องดำเนินการให้เกิดคุณภาพการจัดการ และการเก็บข้อมูลด้านความปลอดภัย การวางแผนจัดหาและฉีดวัคซีน จึงต้องคำนึงปริมาณที่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นจะเกิดความสูญเสียและสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น อีกทั้ง UNICEF คาดการณ์ปริมาณวัคซีนที่จะเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จนเพียงพอต่อความต้องการ และมีแนวโน้มที่วัคซีนจะราคาถูกลงกว่าในขณะนี้ เราจะประหยัดงบประมาณไปได้อีกมาก
โดยสรุป การจัดหาวัคซีนเป็นไปตามหลักการคำนวณของคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยคำนึงถึงสถานการณ์การระบาดในประเทศ และความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ และไม่ได้วางแผนดำเนินการล่าช้าตามที่กล่าวหากัน ตามที่ นพ.ยง ภู่วรวรรณ หนึ่งในคณะอนุกรรมการอำนวยการบริการจัดการให้วัคซีนไวรัสโคโรนา 2019 ได้ตอบคำถามของประชาชน ที่ตั้งข้อสังเกตเช่นเดียวกับคุณธนาธรแล้ว
5.ทุกท่านที่วิจารณ์และตำหนิการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข ต่อการบริหารสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ต้องให้ความเป็นธรรมต่อคนทำงานด้วย เนื่องจากโควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ ที่ไม่มีใครรู้จัก และไม่มีประสบการณ์ ทุกประเทศในโลก รวมทั้งประเทศไทย ต่างใช้ประสบการณ์ในอดีตที่ใกล้เคียงที่สุดมาเป็นข้อมูลพื้นฐานในการทำงาน คนทำงานอาจจะมีถูกบ้างผิดบ้าง และต้องติดตาม ปรับปรุงแผนการทำงานกันทุกวัน ตลอด 1 ปีเศษที่ผ่านมา การนำข้อมูล และตัวเลขต่างๆ มากล่าวอ้าง จึงขอให้พิจารณาตรวจสอบข้อมูลและแหล่งที่มา ณ วันที่นำมาอ้างอิงด้วย
กระทรวงสาธารณสุขพยายามทำงานเพื่อควบคุมสถานการณ์การระบาดในประเทศไทยให้ดีที่สุด ทั้งในช่วงเวลาที่ไม่มีวัคซีนและมีวัคซีนแล้ว ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักการทางการแพทย์ทุกประการ และการฉีดวัคซีนให้กับคนไทยทุกคนด้วยความสมัครใจ จะแล้วเสร็จภายในต้นปี 2565 เป็นอย่างช้า
อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่า การฉีดวัคซีนไม่ใช่การปลดล็อกทุกอย่าง และจะทำให้เรากลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 ได้โดยเร็ว ในระยะแรกของการฉีด วัคซีนเป็นเพียงเครื่องมือควบคุมโรค และป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อมีอาการป่วยหนักและเสียชีวิต หลังจากฉีดวัคซีนแล้วทุกคนยังต้องใส่หน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ และไม่ไปที่แออัด เพื่อลดการติดและการแพร่เชื้ออีกสักระยะ เราต้องติดตามผลการศึกษาวัคซีนว่าจะสร้างภูมิคุ้มกันได้นานแค่ไหนกันต่อไป
6.กรณีที่ประเทศไทยไม่รวมโครงการวัคซีนของ COVAX นั้น เราได้เจรจากับ COVAX มาตลอด แต่เราไม่อยู่เกณฑ์ที่เขาจะให้ฟรี COVAX ให้สิทธิแก่ประเทศยากจนที่ WHO และ GAVI ให้การสนับสนุนจำนวน 92 ประเทศ แต่ไทยถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีฐานะปานกลาง หากเราจะร่วมกับ COVAX เราต้องซื้อราคาแพงกว่า และไม่สามารถเลือกวัคซีนจากผู้ผลิตรายใดได้ มีความไม่แน่นอนทั้งชนิด จำนวน และราคา รวมทั้งต้องจ่ายเงินล่วงหน้า ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้วัคซีน เมื่อไร การที่เราจัดหาเองและได้วัคซีนที่เหมาะสมกับการใช้ มีเงื่อนไขด้านราคาและเวลาที่ชัดเจนกว่า จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยมากกว่า
7.รัฐบาลไม่มีนโยบายที่จะผูกขาดการจัดหาวัคซีนจากผู้ผลิตรายหนึ่งรายใด แต่เราต้องเลือกวัคซีนที่มีความเหมาะสมกับประเทศไทยมากที่สุด ขอยืนยันว่าการจัดหาวัคซีนจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าฯ จำนวน 61 ล้านโดส และจากบริษัทไซโนแวคฯ จำนวน 2 ล้านโดส เป็นการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่คนไทยและประเทศไทย ซึ่งมีการตอบรับข้อเสนอของประเทศไทย และเสนอเงื่อนไขการขายวัคซีนให้แก่ประเทศไทยดีกว่าผู้ผลิตรายอื่น หากในอนาคตมีผู้ผลิตวัคซีนรายอื่นๆ มาขึ้นทะเบียนในประเทศไทย และจำหน่ายในราคาที่ต่ำกว่าที่จัดซื้ออยู่ในขณะนี้ ก็เป็นไปได้ที่รัฐบาลจะพิจารณาจัดซื้อ และสนับสนุนให้เอกชนจัดซื้อไปให้บริการประชาชน
ขอให้เชื่อมั่นว่า กระทรวงสาธารณสุข และบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งผม ที่ทำงานกันเป็นทีมอยู่ในขณะนี้ ไม่มีเป้าหมายทางการเมือง และไม่ประสงค์จะนำความปลอดภัยในชีวิตและสุขภาพของประชาชนมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ เป้าหมายเดียวที่เรามี คือประชาชนคนไทยต้องปลอดภัย" นายอนุทินระบุ
ด้าน ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงกรณีการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ว่า มีอีกตัวที่ไทยนำเข้ามาในเดือนกุมภาพันธ์คือ ซิโนแวค วัคซีน 2 ตัวนี้ทั้งจากแอสตร้าฯ และซิโนแวคจะนำเข้ามาในประเทศไทย และเมื่อเข้ามาและทุกคนฉีดก็จะครอบคลุมประมาณร้อยละ 50-60 ของคนไทย บวกกับคนจำนวนหนึ่งที่ติดเชื้อแล้วและมีภูมิคุ้มกัน ซึ่งน่าจะมีประมาณร้อยละ 60-70 รวมแล้วน่าจะถึงตัวเลขที่อาจทำให้โควิด-19 ถูกกำจัดโดยปริยาย นี่คือเหตุผลของการฉีดวัคซีนเพื่อช่วยชาติ จึงอยากให้เข้าใจในเรื่องเหล่านี้.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |