หลัง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำทัพรัฐบาลทหารเข้าบริหารประเทศ พร้อมชูนโยบาย

            “ขจัดคอร์รัปชัน”

          โดยเร่งสะสางวงจรการทุจริตในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะในแวดวงราชการ ด้วยการใช้มาตรา 44 ในการตรวจสอบ ขณะเดียวกัน "บิ๊กตู่" ยังย้ำจัดหนักขจัดทุจริตในทุกเวที

          ยืนยันไม่เปิดบ้านต้อนรับคนโกงตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา

            แต่ดูเหมือนว่ายิ่งปราบคอร์รัปชัน ยิ่งมีแต่คนใกล้ชิดถูกครหา ถูกจับตา ถูกจับผิดเกี่ยวกับเรื่องคอร์รัปชัน โดยเฉพาะ "พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ตกเป็นเป้ามีข่าวฉาวเสียเอง เพราะถูกจับผิดปมแหวนเพชรและนาฬิกาข้อมือสุดหรู จนเรื่องร้อนไปถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่เข้ามาตรวจสอบ และโดนจับจ้องไปด้วยกัน

            ด้วยเหตุที่มีแต่คนกันเองตรวจสอบหรือไม่

            ขณะเดียวกันยังมีประเด็นแนวคิดการแก้ไขประกาศ ป.ป.ช. เพื่อเพิ่มมูลค่าการให้หรือรับทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่รัฐ จากเดิม 3,000 บาท เพื่อเป็นการปรับให้มีความเหมาะสมต่อการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน

            โดยเรื่องนี้ถูกโจมตีจากขั้วตรงข้ามรัฐบาลพอสมควร เพราะมองว่าการแก้ประกาศ ป.ป.ช. เพื่อเป็นการกู้หน้าให้ "บิ๊กตู่" ปมซื้อลูกสุนัขมูลค่าเกิน 3,000 บาท แจก 2 รองนายกรัฐมนตรีด้วยหรือไม่

            แต่เรื่องนี้ก็ตกไป เมื่อ "บิ๊กตู่" รีบออกตัวค้านสุดใจก่อนเลยว่า ยังมองไม่เห็นความจำเป็นใดที่จะต้องแก้ไขในเรื่องดังกล่าว

            อย่างไรก็ตาม ท่าที "บิ๊กตู่" เมื่อมีเรื่องฉาวๆ ปะทะเข้ามาให้รีบแก้ไข แต่ก็ยังสามารถวางตัวได้อย่างมีชั้นเชิงอยู่ แต่ที่ดูจะกระทบมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นเรื่องนโยบายการปราบปรามทุจริต ที่ "บิ๊กตู่" ชูมาตลอดตั้งแต่รัฐบาลก้าวเข้ามา กลับต้องมามีบาดแผลให้สังคมคลางแคลงใจในหลายๆ ประเด็นเสียอย่างนั้น

            และจากสิ่งรุมเร้าที่บีบรัดตัวรัฐบาลนี้เอง ทำให้ปีนี้ "บิ๊กตู่" ปรับกลยุทธ์ หันมาชูนโยบายแก้ปัญหาความยากจน ด้วยการเตรียมอนุมัติเพิ่มงบกลางปี 2561 จำนวน 150,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อัดฉีดเงินแก้ปัญหาความยากจน

            เรียกว่าเอาใจผู้มีรายได้น้อยอย่างเต็มที่

            โดยกระทรวงการคลังจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณกลางปี 2561 ในช่วงต้นเดือน ก.พ. เพื่อเสนอเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ภายในเดือน มี.ค.นี้

            สำหรับการจัดสรรงบกลางปีดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อปฏิรูปประเทศ โดยเน้นไปที่เศรษฐกิจระดับฐานราก

            ซึ่งในจำนวนนี้ ประมาณ 100,000 ล้านบาท จะใช้ใน 4 เรื่อง คือ 1.งบประมาณในโครงการช่วยคนจนเฟส 2 วงเงิน 35,000 ล้านบาท 2.โครงการปฏิรูปราคาสินค้าเกษตร 40,000 ล้านบาท เช่น การแก้ไขราคายางตกต่ำ 3.งบประมาณในโครงการพัฒนาตำบล วงเงิน 10,000 ล้านบาท และ 4.นำไปใช้เพิ่มความเข้มแข็งกองทุนหมู่บ้าน 10,000-15,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 50,000 ล้านบาท จะนำไปใช้เพื่อชดใช้เงินคงคลัง

            แต่ถึงกระนั้น การแก้ปัญหาความยากจนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ขนาดรัฐบาลจากการเมืองที่ผ่านๆ มา ลงสนามบริหารประเทศกันมาหลายสมัย ยังแก้กันไม่ขาด

            งานนี้คงต้องวัดฝีมือการทำงานของรัฐบาลทหารกันแล้วว่า จะสามารถทำให้ประชาชนพอใจได้หรือไม่ หรือจะจมดิ่งเหวไปอีกเรื่อง!!!!.