ชาดกว่าด้วยช่วง 'กลียุค'


เพิ่มเพื่อน    

(1)

        เทศนาวันอาทิตย์คราวนี้...คงต้องขออนุญาตไปหยิบเอาเรื่องความเป็นไปของยุค ตามความเป็นไปของห้วงกาลเวลา มาเล่าสู่กันฟัง พอให้เพลินๆ แบบ นิทานชาดก อะไรประมาณนั้น เพราะไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธเราๆ ศาสนาฮินดู คริสต์ อิสลาม ไปจนถึงศาสนาเก่าๆ แบบ ศาสนาเชน หรือโซโรอัสเตอร์โน่นเลย ฯลฯ ล้วนแล้วแต่แสดงออกถึง แนวคิด คล้ายๆ กัน ในเรื่องที่ความเป็นไปของกาลเวลา ย่อมนำไปสู่ยุคยุคหนึ่ง ที่อะไรต่อมิอะไรมันออกไปทางเลวขึ้นๆ ร้ายขึ้นๆ จนสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ หรือ ความดีงาม อาจไม่เหลือติดปลายนวมเอาไว้เลย...

(2)

        พุทธเรานั้น...เรียกว่า มิคสัญญียุค คริสต์ อิสลาม เรียกว่า วันสิ้นยุค หรือ วันพิพากษา ก็แล้วแต่จะว่ากันไป ส่วนฮินดูเขาเรียกว่า กลียุค และสร้างฉาก สร้างเรื่อง ให้ ยุวกษัตริย์ องค์หนึ่ง ผู้มีนามว่า ยุธิษฐิระ บุตรคนโตของนาง กุนตี แห่งตระกูล ปานฑพ ในมหากาพย์เรื่อง ภควัตคีตา นั่นแหละ อดไม่ได้ที่จะต้องเอ่ยถามพระฤาษีผู้มีนามว่า ไวยสัมปายนะ เอาไว้ประมาณว่า... “ตูข้ามีความกระหายที่จะได้รับทราบว่า อะไรกันแน่!!! ที่จะก่อเกิดขึ้นมาในห้วงกลียุค ยุคเมื่อศีลธรรม คุณธรรมได้มาถึงจุดสิ้นสุด แล้วอะไรอีกล่ะ ที่จะยังคงหลงเหลือต่อไปนับจากนั้น อะไรเล่าจะยังเป็นพลังอำนาจของมวลมนุษย์ในยุคนั้น พวกเขาจะหุงหาอาหารรับประทานสิ่งใดกัน อะไรจะช่วยหล่อเลี้ยง สร้างความรื่นเริง บันเทิงใจ ให้แก่พวกเขา วิถีชีวิตของผู้คนจะเป็นอย่างไร แล้วสิ่งเหล่านั้นจะยุติลงไปเมื่อใด โอ...ท่านมุนีแห่งบริกู ขอจงช่วยโปรดเล่าแจ้งแถลงไขให้ตูข้าทราบด้วยเถิด...”

(3)

        สำหรับใครที่อยากรู้รายละเอียดของคำถาม-คำตอบในเรื่องนี้ คงต้องไปหาอ่านต้นฉบับภควัตคีตา ที่แปลโดย ศรี กฤษรี โมหัน กันกุลี (Sri Kisari Mohan Ganguli) เอาเองก็แล้วกัน แต่เท่าที่ตัดตอนเอามาอย่างย่อๆ ในที่นี้ คำตอบของพระฤาษีก็พอจะให้มโนภาพ ค่อนข้างคม-ชัด-ลึก อยู่ไม่น้อย เช่นที่ระบุว่า...“เมื่อกลียุคใกล้จะถึงกาลสิ้นสุด ณ ช่วงเวลานั้น แม้กระทั่งมือขวาก็พร้อมที่จะหลอกลวงมือซ้าย และมือซ้ายก็พร้อมที่จะหลอกลวงมือขวา มนุษย์จะไม่สนใจเรียนรู้สิ่งใดๆ อีกต่อไป ความจริงจะถูกจำกัด ผู้มีวัยมีประสบการณ์สูงกว่าจะทรยศเด็กๆ ที่ไร้ความคิด ไร้ประสบการณ์ ขณะเด็กๆ ผู้หลงใหลตัวเอง ก็พร้อมเสมอที่จะทรยศต่อผู้อาวุโส ผู้ที่ขี้ขลาดจะได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้กล้าหาญ ส่วนผู้กล้าหาญกลับได้รับการดูหมิ่น เหยียดหยาม ไม่ต่างไปจากผู้ขี้ขลาด มนุษย์จะเลิกไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ความโลภและความโง่ จะแพร่สะพัดไปทั่วทั้งโลก ปานประดุจเป็นอาหารจานเดียวที่เหลืออยู่ บาปจะเพิ่มพูนไปพร้อมๆ กับความต้องการจะได้มาซึ่งความร่ำรวย มั่งคั่ง คุณธรรมจะสูญหายไปอย่างแทบจะสิ้นเชิง และยุติเสียซึ่งการงอกเงย เจริญเติบโต อีกต่อไป...”

(4)

        และ... “หน้าที่รับผิดชอบแห่งการเป็นพราหมณ์ เป็นกษัตริย์ และไวศยะ จะสูญหายไปจากโลกนี้อย่างไม่เหลือเศษซาก ไม่เหลือความตระหนัก สำนึก ในหน้าที่เหล่านี้อีกเลย เนื่องจากมนุษย์จะเป็นเหมือนกันหมด โดยไม่มีความแตกต่างทางสถานะ (วรรณะ) ใดๆ หลงเหลืออยู่เช่นเมื่อครั้งอดีต ใครก็ตามผู้ซึ่งสามารถครอบครองพลังอำนาจในแต่ละระดับ แม้จะเป็นผู้ปราศจากความรู้ เต็มไปด้วยความละโมบโลภมาก ความโง่ และความบาปเพียงใดก็ตาม กลับจะได้รับการยอมรับ การสรรเสริญ เยินยอ โดยปวงชนผู้เต็มไปด้วยบาปหนา แม้แต่ปวงกษัตริย์ที่หัวใจเต็มไปด้วยบาป ปราศจากความรู้ ความเข้าใจใดๆ แต่กลับคุยโม้โอ้อวดถึงภูมิปัญญาตัวเอง กลับกลายมาเป็นผู้ครองโลกทั้งโลก เป็นผู้ซึ่งพร้อมจะท้าทาย เอาชนะ มุ่งครอบครองผลประโยชน์ของอีกฝ่ายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พร้อมโจมตีบรรดาคนดีและสัตย์ซื่อ โดยปราศจากความเมตตา สงสาร แม้แต่น้อย ความปรารถนาเพียงประการเดียวในจิตใจของปวงกษัตริย์เหล่านี้ คือการได้ปล้นชิงความมั่งคั่งจากผู้อื่น และด้วยความโลภอันท่วมท้น พวกเขาถึงกับพร้อมลงมือเข่นฆ่าพราหมณ์ผู้ทรงศีล อย่างไม่รู้สึก รู้สา...ฯลฯ”

                                              (5)

        จริง-ไม่จริง เป็นไปได้-ไม่ได้...อันนั้นคงต้องเก็บไปคิดกันเอาเอง แต่ถ้าลองเอาคำบรรยายเหล่านี้มาเทียบเคียงกับความเป็นไปของห้วงเวลาในระยะปัจจุบันแล้ว คงต้องยอมรับว่า...มันออกจะเป็นที่คลับคล้าย คลับคลึง อยู่ไม่น้อย ดังนั้น...เลยต้องถือเป็น “คำถาม” ที่น่าคิด น่าสะกิดใจ สำหรับบรรดา ผู้ใฝ่ธรรม ทั้งหลายอยู่พอสมควรเหมือนกัน ว่าถ้าหาก ความเป็นไปของกาลเวลา มันมีอันต้องไหลไปตามแนวคิด ความเชื่อ ของบรรดาศาสนาทั้งหลายขึ้นมาจริงๆ ภายใต้สภาพเช่นนั้น...จะยังมีใครกล้ายืนหยัด ยืนยัน อยู่กับ ธรรมะ กันอีกหรือไม่ หรือต้องปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ตัวของตัวเอง จำต้องไหลไปตามกระแส จะยังมีใครพร้อมออกเรี่ยว ออกแรง ผลักดันให้ กงล้อแห่งกาลเวลา หมุนขึ้นไปสู่ ยุคใหม่ หรือกลับไปสู่ยุคเริ่มต้น ที่ความดี ความงาม คุณธรรม ศีลธรรม หวนกลับมาปรากฏขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า ไปถึงขั้นไหน แน่นอนว่า...บรรดา คำตอบ เหล่านี้คงไม่ได้ อยู่ในสายลม แต่ย่อม อยู่ที่ใจ ของแต่ละปัจเจกบุคคลนั่นแล...


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"