'ธนาธร' ในวันที่หมดความเป็นคน


เพิ่มเพื่อน    

             "ธนาธร"....

            ความเป็นคนของคุณหมดไปแล้วล่ะ

            ถอยหลังกลับวันนี้....ก็น่าจะเกือบสายเกินไป

            จะมีสักกี่คนในโลกนี้ที่เอาความทุกข์ของคนทั้งประเทศมาหาเศษหาเลยทางการเมือง

            ประเด็น "วัคซีนพระราชทาน" ธนาธร ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่รัฐบาล

            แต่ใช้ประเด็นนี้ สุมไฟเพื่อล้มล้างสถาบันโดยตรง มีการสนตะพายม็อบ ๓ นิ้วเป็นทอดๆ

            สิ่งที่ "ธนาธร" เอามาพูด นอกจากไม่จริงแล้ว ยังสะท้อนถึงสันดานนายทุน ที่คิดแค่ กำไร จากการประกอบการ โดยไม่สนใจมิติทางสังคม

            จึงไม่แปลกเลย ที่เราแทบไม่เห็นข่าวอาณาจักรไทยซัมมิทซึ่งร่ำรวยเป็นหมื่นล้าน บริจาคเงิน สิ่งของ เพื่อสาธารณะเลย

            ผิดกับบริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ ทำงานเพื่อสังคมมาต่อเนื่องยาวนาน และจับต้องได้

            "ธนาธร" รู้จัก สยามไบโอไซเอนซ์เป็นอย่างดี แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ เพื่อจะได้บิดเบือนความจริงได้สนิทปาก ให้สังคมเบาปัญญาเชื่อตาม

            คนโง่เพราะไม่รู้โดยสุจริตใจ ไม่ใช่คนที่อันตราย

            แต่คนที่รู้อยู่แล้วแกล้งโง่เพื่อใช้ประโยชน์จากความไม่รู้ของสังคม คนแบบนี้เลวทรามครับ

            เป็นบุคคลอันตราย!

            ผลิตผลจากการเลี้ยงดูแบบ "ฮ่องเต้ซินโดรม" ตามอกตามใจ ราวกับเทวดา ไร้มารยาท ไร้ความเกรงใจผู้อื่น ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่ "ธนาธร" เป็นอยู่ในวันนี้

            สภาพ "ธนาธร" ไม่ต่างจากเด็กถูกแย่งของเล่น จึงอาละวาดไปทุกเรื่อง โดยไม่สนผิดถูก 

            จนหมดความเป็นคน

            ถ้ารู้จัก สยามไบโอไซเอนซ์ ก่อนไวรัสโควิด-๑๙ ระบาดไปทั่วโลก ทุกคนจะคิดเหมือนกันว่า นี่คือความหวังของคนไทย และรวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน ในการเข้าถึงยาคุณภาพดีและราคาถูก

            ยกเว้นมนุษย์สามานย์

            ราวสิบปีที่แล้ว ริมถนนทางหลวงชนบท นบ.๕๐๑๔  ตำบลบ้านใหม่ อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี มีตู้คอนเทนเนอร์วางซ้อนเป็นอาคารอย่างโดดเดี่ยว มองเผินๆ  ไม่ผับ ก็ร้านเหล้า

            แต่นั่นคืออาคารเริ่มต้นของ สยามไบโอไซเอนซ์

            ผมเคยแวะเข้าไปกับทีมข่าวไทยโพสต์ เดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ช่วงโควิด-๑๙ เริ่มระบาดในไทยได้ไม่กี่วัน

            และเป็นครั้งแรกที่รู้จักยาที่เป็น "ชีววัตถุ" (Biopharmaceuticals)

            สยามไบโอไซเอนซ์ เป็นศูนย์การวิจัยและผลิตยาแห่งเดียวในอาเซียน ที่สามารถผลิตยาชีววัตถุได้ ในมาตรฐานระดับโลก และทำงานโดยคนไทยทั้งหมด 

            จุดเริ่มต้นอย่างที่ทราบกันอยู่แล้ว

            พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงให้ความสำคัญกับปัญหาสุขภาพของคนไทย ดังที่ได้พระราชทานพระราชดำรัส ในเรื่องสุขภาพว่า

             "ถ้าคนเรามีสุขภาพเสื่อมโทรม ก็จะไม่สามารถพัฒนาชาติได้ เพราะทรัพยากรที่สำคัญของประเทศชาติ ก็คือ พลเมือง นั่นเอง" 

            "ธนาธร" พูดถึงเรื่องที่ Siam Bioscience ขาดทุนสะสมไปแล้วกว่า ๕๘๑ ล้านบาท

            บริษัทลูกที่ ธนาธร ไปค้นเจออย่างน้อย ๓ บริษัท ขาดทุนย่อยยับหมด

            ๑) Abinis ที่ Siam Bioscience ถือหุ้นอยู่ ๗๐% โดยมีบริษัท CIMAB S.A. จากคิวบาถือหุ้นอยู่ ๓๐% ทุนจดทะเบียน ๒,๒๗๐ ล้านบาท รายได้ปีล่าสุด ๑.๒ ล้านบาท  ขาดทุน ๙.๑ ล้านบาท และมีผลดำเนินการขาดทุนมาตลอดตั้งแต่ก่อตั้ง

            ๒) Inno Bio Cosmed ที่ Siam Bioscience ถือหุ้นอยู่  ๑๐๐% ทุนจดทะเบียน ๑๐๐ ล้านบาท รายได้ปีล่าสุด ๑๗  ล้านบาท ขาดทุน ๑๓ ล้านบาท และมีผลดำเนินการขาดทุนมาตลอดทุกปีเช่นกัน

            ๓) Apsalagen ที่ Siam Bioscience ถือหุ้นอยู่ ๕๑%  โดยมีบริษัท ฮาเซอร์ อินเวสเมนต์ ของเยอรมนี ถือหุ้นอยู่  ๔๙% ทุนจดทะเบียน ๔๒ ล้านบาท ขาดทุนสะสมไปแล้ว  ๒๒.๕ ล้านบาท

            ทั้งหมดนี้ถ้าเป็นบริษัทในเครือไทยซัมมิท จะถูกปิด  พนักงานตกงานเก็บของ ไปหมดแล้ว เพราะไม่ทำกำไร

            แต่สยามไบโอไซเอนซ์ ไม่ได้เริ่มต้นจากการค้ากำไร

            กลับกันอย่างสิ้นเชิง เริ่มต้นจากการให้คนไทยเข้าถึง ยาชีววัตถุ ในราคาถูกและปลอดภัย

            "ธนาธร" รู้หรือเปล่าว่าการได้เทคโนโลยี ผลิตยาชีววัตถุ จากประเทศคิวบา ไม่ใช่เรื่องง่าย 

            เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว ยังไม่มีหน่วยงานที่ผลิตยา แห่งใดในประเทศไทย แม้กระทั่งองค์การเภสัชกรรม สามารถผลิตยาชีววัตถุ เช่น ยารักษามะเร็งซึ่งเป็นยาราคาแพงได้    

            เพราะเทคโนโลยีการผลิตยาชีววัตถุ ถือเป็นความลับของบริษัทยายักษ์ใหญ่ในโลก ที่ต้องการเก็บไว้เพื่อกำไรในการลงทุน

            แต่ด้วยพระบารมีของในหลวงรัชกาลที่ ๙ คิวบา ยอมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ สยามไบโอไซเอนซ์ ในฐานะผู้ร่วมทุน และขาดทุนไปพร้อมๆ กัน

            นั่นคือ สยามไบโอไซเอนซ์ ก่อนที่โลกนี้จะมีโควิด-๑๙

            ฉะนั้นข้อโจมตีของ "ธนาธร" ที่ว่า

            "ไม่อาจแน่ใจได้ว่าบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ สมควรได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ผลิตวัคซีนเกือบ ๑๐๐% ที่รัฐบาลไทยจัดซื้อมาให้ประชาชน"

            เป็นความคิดที่ต่ำตม พูดราวกับว่า สยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งขาดทุนป่นปี้ ไร้ความสามารถในการผลิตวัคซีน           และพูดราวกับว่า สยามไบโอไซเอนซ์ ผูกขาดในการผลิตวัคซีน และผลประโยชน์จะไปตกกับ ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐

            ทำไมต้องเป็นวัคซีนของ "AstraZeneca"

            AstraZeneca บริษัทผลิตยาขนาดใหญ่ของอังกฤษ เข้ามารับข้อเสนอจองซื้อและยอมรับหลักการโดยไม่หวังผลกำไรจากวัคซีนในช่วงระบาด

            AstraZeneca ต้องการโรงงานที่สามารถผลิตวัคซีนนับพันล้านโดสได้ เพื่อกระจายไปยังประเทศต่างๆ ในทุกภูมิภาคของโลกได้

            และเพราะเป็นการจองซื้อนี่เอง มีข้อตกลงการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่ไทยด้วย

            นี่คือการวางแผนระยะยาว  คนที่จะมารับในช่วงเวลาเร่งด่วนต้องพร้อมที่สุด ต้องมีความสามารถมากที่สุด และ  AstraZeneca มั่นใจมากที่สุด

            "ธนาธร" รู้หรือไม่ว่ามีการตรวจสอบ ทบทวนคุณสมบัติต่างๆ อย่างรอบคอบและจริงจัง

            มีเพียง สยามไบโอไซเอนซ์ เท่านั้นที่มีศักยภาพในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตในรูปแบบของ Viral  vector vaccine ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดได้

            ไม่ใช่เผด็จการชี้นิ้วสั่ง

            "ธนาธร" รู้หรือไม่ว่า สัญญาผูกพันที่รัฐบาลให้งบประมาณสนับสนุนบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์จำนวน ๖๐๐  ล้านบาท คือการไปปรับปรุงโรงงานให้ได้ตามมาตรฐานของแอสตราเซเนกา

            กำไรมีอย่างเดียวคือ "ชีวิต" ของประชาชน

            นายทุนอย่าง "ธนาธร" จะเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่ ช่างแม่มมัน แต่อย่าเอาตีนราน้ำ

            อย่าเอาวัคซีนไปใช้ประโยชน์ทางการเมือง โดยเฉพาะเลือกตั้งเทศบาล

            ๒๘ มีนาคมนี้ อย่าเลือกคนของคณะก้าวหน้าเข้าไปทำงานเทศบาล หาก "ธนาธร" ไม่ขอโทษและไม่สำนึก

            อย่าให้มีที่ยืน.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"