"ประยุทธ์" โอดทำอะไรถูกตีเป็นการเมืองไปหมด ยันทำเรื่องการบ้านให้ประเทศสำเร็จก่อนเลือกตั้ง พร้อมร่ายบทกลอนร่วมกันพัฒนาบ้านเมืองให้ไทยยั่งยืน หวั่นเสียงวิจารณ์พลังดูดเลื่อนกำหนดการลงสระแก้ว จ่อประชุม ครม.สัญจร 1 ครั้งต่อเดือน ส่วนวันที่ 23 พ.ค. มีคิวลงพื้นที่ใกล้ กทม. "เด็กวังน้ำเย็น" ลั่นยังเหนียวแน่นกับ พท. เย้ยเอาไปได้แค่อดีต ส.ส.สอบตกเผย "เมียป๋าเหนาะ" ไม่สบายใจ "ไพศาล" ยุแหย่ให้แตกแยก วงเสวนาอภิวัฒน์สยาม 2562 นักการเมืองรุ่นใหม่ประสานเสียงพร้อมแก้ รธน.ปี 60 สถาปนา รธน.ของปชช.
ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 13.30 น. วันที่ 11 พฤษภาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) การเชื่อมโยงข้าว กข.43 และผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว กับผู้ประกอบการ กลุ่มเกษตรกร และผู้จัดจำหน่าย โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ และนายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ ร่วมด้วย
โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า จริงๆ แล้วตั้งใจจะไม่พูด แต่เกรงว่าจะเป็นการลงนามบันทึกความไม่เข้าใจกัน เพราะทุกครั้งที่ทำอะไรลงไป มักจะถูกตีเป็นประเด็นการเมืองทั้งหมด ตนก็เลยจำเป็นต้องมาพูดบ้าง เพื่อให้เกิดการรับรู้ในสังคมว่าเราไม่ได้ทอดทิ้งใคร โดยเฉพาะเกษตรกร ต้องช่วยกันทำเรื่องการตลาด ไม่ใช่ผลิตออกมาแล้วขายไม่ได้มาโทษรัฐบาลอีก เพราะที่ผ่านมาก็โทษรัฐบาลมาหลายเรื่อง ดังนั้นต้องช่วยกันสร้างการรับรู้ให้กับเกษตรกรไปสู่การสร้างไทยนิยมที่เข้มแข็ง อย่างเรื่องข้าว เป็นต้น
นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลไหนก็ตาม ถ้าทำงานอย่างนี้ได้ตนไม่ห่วง ใครจะเป็นก็เป็นไปเถอะ ตนไม่ได้พูดเรื่องการเมือง แต่จำเป็นต้องพูด เพราะโดนกันทุกวัน ถ้าท่านต้องการอยากให้ทุกอย่างดีขึ้น ก็ต้องหาทางที่จะได้รัฐบาลทำงานได้อย่างที่ท่านพอใจ และที่ยั่งยืนครบวงจร เน้นว่าต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่บางทีก็ถูกนำไปหาว่าไม่ดูแลเกษตรกร ไม่ได้ดูแลปาล์ม ไม่ดูแลยาง แต่ท่านต้องไปดูตลาดโลกด้วย
"ฝากให้ทุกคนรับรู้ รับทราบ และช่วยกันบอกด้วย ว่าเวลาผมไปต่างจังหวัด ไปประชุมคณะรัฐมนตรี ก็ไปทุกจังหวัด จะไปที่ไหน เขารับตรงไหน ก็ไปตรงนั้น ตรงไหนผมได้เจอคนก็ได้เจอตรงนั้น ไม่ใช่ไปเจอคนแบบจัดให้เจอ ก็จะไปเจอตรงไหนที่มากที่สุดที่เขาจะจัดให้เจอกับประชาชนได้ จะพูดคุยกับเขาเอง ไม่ต้องการให้เป็นคำครหาอะไรทั้งสิ้น ฝากทุกคนด้วย ผมยังไม่ทำเรื่องการเมือง แต่ทำเรื่องการบ้านอยู่ การบ้านที่ต้องทำให้สำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนการเลือกตั้ง เพื่อให้ทุกคนสบายใจว่าวันหน้าสิ่งที่ทำวันนี้ไว้ดีๆ จะได้เกิดต่อ ไม่ใช่หวังกลับมาอยู่แบบเดิม ทำอะไรก็ได้ ผิดกฎหมายยังไงก็ได้ ปล่อยปละละเลย ให้สินบนอะไรก็ได้ ก็จะได้เหมือนเดิม ซึ่งไม่ใช่แก้ที่รัฐบาลอย่างเดียว แต่ต้องแก้ที่ประชาชนทุกคนด้วย"
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า ขอให้ทุกธุรกิจทุกกิจกรรม และเอกชนที่ทำดีเพื่อแผ่นดิน ทำดีเพื่อคนจนขอให้เจริญร่ำรวยต่อไปเรื่อยๆ มากขึ้นเป็นร้อยเท่าพันทวี แต่ถ้าใครรังแกประชาชน เอาเปรียบ ก็แล้วแต่ ลงโทษกันเอง พระมี ผมไม่กล้าไปว่าใคร ผมศัตรูเยอะอยู่แล้ว พระสยามเทวาธิราชทรงดูแลประเทศไทยมานานตั้งแต่สร้างมา 200-300 กว่าปี ท่านก็เหนื่อยนะ ให้ท่านพักบ้างเถอะ อะไรก็ขอท่านให้เรียบร้อย ขอได้เป็นกำลังใจให้เรา ขอให้ท่านช่วยก็ไม่ไหวเหมือนกัน ท่านช่วยให้เราทำงาน
ร่ายกลอนร่วมพัฒนาชาติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อมาถึงช่วงนี้ นายกฯ ได้หยุดพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนกล่าวว่า "ขอให้พระบารมีอันมากล้นของสถาบันพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 รัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ได้ปกป้องทุกคน เราต้องปฏิรูปประเทศในสมัยเราให้ได้ ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ ถ้าเราไม่ช่วยกัน ไม่มีรัฐบาลจะทำได้ ทุกรัฐบาลไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า ถ้าเราไม่ช่วยกันทำเอง"
ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ได้ปฏิเสธที่จะตอบคำถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับความชัดเจนการลงพื้นที่ จ.สระแก้ว ในวันที่ 18 พ.ค.นี้ โดยเมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงเรื่องดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินเชิดหน้าโดยไม่หันมามอง พร้อมส่ายศีรษะด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนโบกมือปฏิเสธไม่ตอบคำถาม
ช่วงค่ำ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สูการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตอนหนึ่งว่า ขอฝากบทกลอนถึงพี่น้องประชาชน เพื่อเป็นหลักคิดในการร่วมกันพัฒนาบ้านเมืองอันเป็นที่รักของพวกเราทุกคน ไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน อย่ามองว่าแต่งดี ไม่ดี แต่งผิดแต่งถูก อะไรทำนองนี้ ขอให้ดูสาระ ผมอยากให้ทุกคนได้ลองคิดดู ...ทำการเมืองเป็นพลังไว้สร้างบ้าน ไม่ก่อการขัดแย้งทุกแห่งหน ประชาธิปไตยใหญ่หลวง เพื่อปวงชน ใช่พร่ำบ่นให้คนไทยไร้กฎเกณฑ์ ทุกโครงการปฏิรูปช่วยสานต่อ เหมือนถักทอเส้นไหมให้เป็นผืน ทั้งย้อมสีลวดลายให้กลมกลืน ไทยต้องตื่นรู้เท่าทันอันตราย รัฐบาล คสช.ทำทุกอย่างคงไม่ไหว ไทยช่วยไทยประชารัฐเร่งขวนขวาย พ้นยากจนทนลำบากยากใจกาย สู่เป้าหมายปลายทางไทยยั่งยืน
แหล่งข่าวทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า สำหรับกำหนดการเปิดด่านผ่านแดนถาวรบ้านเขาดิน อ.คลองหาด จ.สระแก้วนั้น อยู่ระหว่างการหารือของเจ้าหน้าที่ทั้งไทยและกัมพูชา แต่ก็ต้องรอความชัดเจนของทั้งสองฝ่าย ซึ่งในส่วนของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เกี่ยวอะไรด้วย และในทางการแล้ว หากจะมีการเชิญอย่างเป็นทางการ ผู้นำทั้งสองประเทศต้องมีความพร้อมและว่างจากภารกิจ แต่เท่าที่ทราบ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ติดภารกิจด้วย สำหรับกระแสข่าวการลงพื้นที่จังหวัดสระแก้วเพื่อหวังพบปะกับนักการเมืองในพื้นที่นั้น ยังไม่มีอะไรทั้งสิ้น ตามข้อเท็จจริง พล.อ.ประยุทธ์ต้องการลงพื้นที่ทั้ง 77 จังหวัด เพื่อรับฟังความคิดเห็นและแก้ไขปัญหาของประชาชน จึงได้พยายามกระจายลงพื้นที่ให้ได้ครบทุกภาค แม้จะไม่ได้ไปทุกจังหวัดก็ตาม เพราะเป็นเรื่องลำบาก
"สำหรับการลงพื้นที่และการประชุม ครม.สัญจรไว้วางคราวๆ แต่ละเดือนนายกฯ จะลงพื้นที่และประชุมครม.สัญจร 1 ครั้งต่อเดือน และลงพื้นที่ตรวจราชการไปเช้าเย็นกลับ 1 ครั้ง และประมาณวันที่ 23 พ.ค. มีกำหนดการลงพื้นที่ซึ่งไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เรื่องการเมืองก็เป็นเรื่องของการเมือง ไม่เกี่ยวกับ พล.อ.ประยุทธ์ วันนี้ไปคิดไปมโนกันเอง เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และนายกฯ เองก็ไม่ต้องการที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง"
เลื่อนกำหนดการสระแก้ว
แหล่งข่าวเปิดเผยด้วยว่า เดิมทีกระทรวงมหาดไทย และ จ.สระแก้ว ได้หารือเตรียมการเพื่อให้นายกฯ ลงพื้นที่ดังกล่าวจริง แต่หลังจากเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และ พล.อ.ประยุทธ์ไม่อยากตกเป็นเป้าในขณะนี้ โดยเฉพาะเรื่องของพลังดูด จึงได้ขอให้เลื่อนกำหนดการออกไปก่อน
ที่ จ.บุรีรัมย์ ตัวแทนประชาชนจากหลายหมู่บ้านตำบลใน อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ กว่า 100 คน นำโดย
นายอภินพ พันธุ์มุข, นายพงศ์ศักดิ์ มีสิทธิ์ และ น.ส.สายเพชร พาเจริญ ในฐานะตัวแทนประชาชนชาว อ.สตึก ได้รวมตัวกันแสดงพลังตอบโต้และปกป้องศักดิ์ศรีคนบุรีรัมย์ โดยการถือป้ายที่มีข้อความว่า “หยุด..ดูถูกประชาชนชาวบุรีรัมย์” เดินจากบริเวณศาลาริมลำน้ำมูลไปยังหน้าที่ว่าการอำเภอสตึก พร้อมตะโกนคำว่า “ชาวบุรีรัมย์ สู้สู้” ไปตลอดทาง หลังจากได้มีนักการเมืองบางคน เช่น คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, นายอิสสระ สมชัย อดีต ส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาดูหมิ่นคนบุรีรัมย์ว่าประชาชนที่ไปมาร่วมต้อนรับนายกฯ และคณะรัฐมนตรี ที่เดินทางประชุม ครม.สัญจรเมื่อวันที่ 7-8 พ.ค.ที่ผ่านมา
โดยเฉพาะจุดที่สนามช้างอารีนา ซึ่งมีคนมารอต้อนรับแน่นสนาม เป็นการเกณฑ์คนมาหมู่บ้านละ 30 คนนั้นไม่เป็นความจริง ทุกคนต่างมาด้วยความตั้งใจ ไม่ได้มีใครบังคับ มาต้อนรับในฐานะเจ้าบ้านที่ดีในนามประชาชนคนบุรีรัมย์ จึงเรียกร้องให้หยุดกล่าวหาหรือดูหมิ่นคนบุรีรัมย์
ด้าน พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคการเมืองวิพากษ์วิจารณ์การใช้งบประมาณลงพื้นที่ของรัฐบาล และเป็นการดูดทางการเมืองด้วยว่า ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่นายกรัฐมนตรีต้องการลงพื้นที่เพื่อรับทราบปัญหาประชาชน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ การลงพื้นที่แต่ละครั้งก็ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปปรับปรุงและเร่งรัดการทำงาน คิดว่าเป็นประโยชน์ที่ท่านไปรับฟังปัญหาด้วยตัวท่านเอง เราอย่านำไปผูกเรื่องการเมืองจนเกินไป ทุกพื้นที่ทุกจังหวัดก็มี ส.ส.อยู่ในพื้นที่ การลงไปเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้มีประเด็นอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ จะเปลี่ยนใจเรื่องการลงพื้นที่ จ.สระแก้ว วันที่ 18 พ.ค.หรือไม่ หลังถูกวิจารณ์ว่าเตรียมดูด ส.ส.กลุ่มวังน้ำเย็น พล.อ.ฉัตรชัยกล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าท่านเปลี่ยนหรือยัง แต่เมื่อวันที่ 10 พ.ค. ทราบว่านายกฯ จะลงพื้นที่สระแก้ว ส่วนที่ว่านายกฯ มีความสนิทสนมกับนายเสนาะ เทียนทอง ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทยนั้น ตนไม่ทราบว่าท่านสนิทหรือไม่สนิท แต่ท่านนายกฯ ทำงานอยู่ในพื้นที่นั้นตั้งแต่เป็นนายทหารเด็กๆ
"ในส่วนของผม ลงพื้นที่ทุกสัปดาห์ เพื่อติดตามงานที่รับผิดชอบอยู่ นายกฯ เองเป็นคนสั่งด้วยซ้ำไปว่าให้รองนายกฯ และรัฐมนตรีพยายามลงพื้นที่ไปรับทราบปัญหา การทำแบบนี้ถือเป็นการติดตามงานที่ดี และเมื่อนายกฯ มีเวลาก็อยากจะลงไปด้วย จึงไม่อยากให้มองเป็นเรื่องการเมืองกันไปหมด ถ้าเราไปมองเรื่องการเมืองหมด ก็คงไม่ทำงานอะไรกัน" พล.อ.ฉัตรชัยกล่าว
วังน้ำเย็นยังเหนียวแน่น
นายอำนวย คลังผา อดีต ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะสมาชิกกลุ่มวังน้ำเย็นของนายเสนาะ กล่าวถึงกระแสข่าวการดูดมาร่วมสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ว่า สมาชิกกลุ่มวังน้ำเย็นที่อยู่พรรคเพื่อไทยมีประมาณกว่า 20 คน ทุกวันนี้ยังไปมาหาสู่กันอยู่ ข่าวเรื่องดูดนั้นเป็นเพียงกระแสข่าว ยังไม่มีคำพูดออกจากปากนายเสนาะ และลูกชายนายเสนาะก็พูดชัดเจนยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย เชื่อว่านายเสนาะและสมาชิกกลุ่มวังน้ำเย็นทุกคนยังคงเหนียวแน่นอยู่กับพรรคเพื่อไทยไม่ไปไหนแน่นอน หาก คสช.จะดูดใครได้ มองว่ามีเพียงอดีตผู้สมัครที่สอบตกหรือคนที่เขตเลือกตั้งซ้ำซ้อนไม่มีพื้นที่ลงเท่านั้นที่จะยอมไปกับ คสช.
นายพายัพ ปั้นเกตุ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง กล่าวถึงกระแสข่าวดูดส.ส.พรรคต่างๆ ว่า พอได้แล้ว ไม่สง่างาม อดีต ส.ส.อึดอัด ล่าสุดนายไพศาล พืชมงคล คนสนิท พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ แค่ไปรดน้ำดำหัวนายเสนาะ เจ้าของบ้านเปิดบ้านให้รดน้ำดำหัวด้วยความเมตตา รักใคร่แบบลูกแบบหลาน ขอถ่ายรูปก็เมตตาให้ถ่าย แต่กลับเอามาหาประโยชน์ทางการเมือง ยุให้รำตำให้รั่ว ออกข่าว พล.อ.ประยุทธ์จะไปตรวจราชการที่จังหวัดสระแก้ว แอบอ้างว่าเทียนทองเตรียมขนคน 5 หมื่นต้อนรับ ประชาชนสับสน ผลที่สุดนายสรวงศ์ นายสุรชาติ เทียนทอง บุตรชาย ต้องออกมาแสดงจุดยืนว่าไม่เอานายกฯ คนนอกชัดเจนแล้ว จึงขอวิงวอนให้เลิกพฤติกรรมตอแหลแบบนี้ได้แล้ว
"ที่สำคัญ นางอุไรวรรณ เทียนทอง ภรรยานายเสนาะ ไม่สบายใจ ถ้ารักใคร่นับถือกัน อย่ามายุแหย่แบบนี้อีก จ.สระแก้วชัดเจน อยากเห็นประเทศชาติเดินหน้าได้ ประชาชนเขาเดือดร้อน อดอยากลำบากกันมากแล้ว หยุดซ้ำเติมกันเสียที่ รีบคืนอำนาจประชาชน" นายพายัพกล่าว
ส่วนนายจำลอง ภูนวนทา อดีตผู้สมัครร้อยเอ็ด พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงข่าวที่มีรายชื่อตนไปเป็นพรรคร่วมหนุน พล.อ.ประยุทธ์ ว่าความจริงมีผู้ใหญ่ระดับอดีตรัฐมนตรีมาทาบทามนานแล้ว แต่ตอนนั้นตนไม่ได้ตอบรับ ได้แต่แบ่งรับแบ่งสู้ไป ขอบอกก่อนว่าไม่ใช่เรื่องดูดหรือไม่ดูด แต่ถ้ามองสถานการณ์บ้านเมืองแล้วเห็นว่าหนทางไหนที่จะทำให้บ้านเมืองสงบและเดินหน้าไปได้ ตนจะเลือกทางนั้น ที่ผ่านมาลงพื้นที่เสมอ ประชาชนเป็นกระบอกเสียงบอกผ่านตนว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นแนวทางใหม่ที่ไม่แบ่งแยก จึงกลับมาคิดว่าถ้าอยู่ในนาม ปชป. ก็ยังมีการแบ่งแยกกับพรรคเพื่อไทยอยู่ดี ตอนนี้ตัดสินใจจะไป 70% และอยู่ 30% ชาวบ้านเขาบอกผมเองว่า พล.อ.ประยุทธ์คือความหวังใหม่ที่จะทำให้ประเทศไม่แบ่งแยก ดังนั้นถ้าไปแล้วประเทศชาติดีขึ้นก็ยินดี
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีต ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย และคนสนิทคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊ก พลังดูด เผด็จการกับประชาธิปไตย ระบุว่า การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ หากยังใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เป็นกติกาในการเลือกตั้ง ส่อได้ว่าจะกลายเป็นสาเหตุแห่งความวุ่นวาย เริ่มตั้งแต่พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งมากที่สุดอาจไม่ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล การใช้กฎหมายเพื่อบิดเบือนหรือสร้างประโยชน์ให้กับฝ่ายเผด็จการ ซึ่งเป็นเพียงเสียงส่วนน้อย จึงสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะจุดประเด็นความขัดแย้งขึ้นมาอีกครั้ง เชื่อว่าฝ่ายเผด็จการจะใช้อิทธิพลและกลไกต่างๆ ทุกวิถีทางเพื่อการสืบทอดอำนาจ และจะไม่ยอมรับการตัดสินใจของคนส่วนใหญ่อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นคงต้องดูกันต่อไปว่าประชาชนส่วนใหญ่จะยอมให้ฝ่ายเผด็จการกดขี่ข่มเหงต่อไปอีกหรือไม่ และถ้าไม่ยอมจะเกิดอะไรขึ้น
คนรุ่นใหม่พร้อมแก้ รธน.
ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีเสวนาเรื่อง “อภิวัฒน์สยาม 2562 : ความหวังและอนาคตประเทศไทย” โดยมีตัวแทนพรรคการเมือง ได้แก่ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล จากพรรคเพื่อไทย, น.ส.รัชดา ธนาดิเรก จากพรรคประชาธิปัตย์, นายวราวุธ ศิลปอาชา พรรคชาติไทยพัฒนา และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ร่วมอภิปราย โดยนายวราวุธกล่าวว่า การเลือกตั้งในปี 2562 เป็นเรื่องสำคัญ ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ 2560 หลังการเลือกตั้ง จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้เพียงบางส่วน ปัญหาต่างๆ ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียว แต่ก็ถือว่าจะทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยได้
น.ส.รัชดากล่าวว่า เมื่อมีการเลือกตั้ง สิ่งดีๆ ก็จะตามมา แต่ต้องมาภายใต้เงื่อนไข 2 ประการ คือผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งต้องมาจากประชาชนอย่างแท้จริง และประชาชนต้องรู้เท่าทันนโยบายของพรรคการเมือง แม้ว่าเวลานี้ คสช.จะห้ามดำเนินกิจกรรมทางการเมือง แต่ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ประชาชนจะศึกษาเรื่องการเมือง หลังการเลือกตั้งทุกคนต้องช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจประชาธิปไตย ไม่มีการผูกขาด สังคมมีความเสมอภาค
ขณะที่ น.ส.ขัตติยากล่าวเช่นกันว่า มีความหวังว่าการเลือกตั้งปีหน้าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของประเทศ จะเป็นการเลือกตั้งของคนรุ่นใหม่กว่า 8 ล้านคนในประเทศ เชื่อว่าคนรุ่นใหม่อยากเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง และคนที่มีสิทธิเลือกตั้งอยู่แล้ว ก็ต้องการเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศเช่นกัน เพราะที่ผ่านมาประเทศบอบช้ำมามากแล้ว การรัฐประหารไม่ได้ทำให้ประเทศดีขึ้น แต่ควรทำให้กลับเข้าสู่ประชาธิปไตยเหมือนเดิม
ส่วนนายธนาธรกล่าวว่า หากการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงในปี 2562 ควรนำสิ่งที่การอภิวัฒน์ในปี 2475 ทำไม่สำเร็จมาทำให้เกิดผลสำเร็จ นั่นก็คืออำนาจสูงสุดของประเทศจะต้องเป็นของประชาชน
ต่อมาเวทีการเสวนาได้เปิดให้ทุกคนแสดงความคิดเห็น ว่าหากผู้อภิปรายมีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรี จะทำอย่างไร นายวราวุธ กล่าวว่า ประเทศไทยจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง คือกฎกติกาในการบริหารประเทศ การมีรัฐธรรมนูญที่มาจากทุกภาคส่วน ดังนั้นตนอยากตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ใหม่ โดย น.ส.รัชดา กล่าวว่า จะกระจายอำนาจให้ครอบคลุมทุกเรื่อง โดยเฉพาะการปฏิรูปตำรวจ ที่ต้องกระจายอำนาจจากตำรวจที่อยู่ศูนย์กลางไปสู่ภูธร รวมถึงต้องกระจายอำนาจด้านการศึกษา กระจายอำนาจการปกครอง โดยผลักดันให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการเลือกของประชาชนในจังหวัดโดยตรง
น.ส.ขัตติยากล่าวว่า สิ่งที่จะทำสิ่งแรกคือการแก้รัฐธรรมนูญ โดยอาจต้องทำประชามติเพื่อนำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาใช้ จากนั้นมาร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่ แล้วทำประชามติอีกครั้ง
เช่นเดียวกับนายธนาธร ที่เห็นด้วยว่าควรยกเลิกการบังคับใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 เพราะอำนาจการสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน มี ส.ส.ร.ที่มาจากประชาชน และต้องนำสิ่งที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยออกไปจากรัฐธรรมนูญ 2560
นอกจากนี้ น.ส.ขัตติยายังกล่าวว่า ตนคงไม่ถูกดูดจากพรรคการเมืองใด เพราะมีอุดมการณ์ที่ชัดเจน พร้อมมองว่าคนที่ถูกดูดถือว่าเป็นคนที่ดูถูกประชาชน เพราะไม่มีความมั่นคงในอุดมการณ์ของตนเอง พร้อมปฏิเสธว่าไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีเพราะไม่สนับสนุนเผด็จการ
เช่นเดียวกับนายธนาธร เห็นด้วยกับ น.ส.ขัตติยา ว่านักการเมืองที่ถูกดูดคือผู้ที่ทรยศประชาชน และทรยศกับจรรยาบรรณวิชาชีพ และเห็นว่าต้องเลิกทำให้การเมืองเป็นเรื่องน่ากลัว สามารถพูดคุยความเห็นต่างได้ การเลือกตั้งปี 2562 อาจจะยังไม่เกิดขึ้น การแสดงออกของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งจึงเป็นสิ่งสำคัญ ทุกคนอย่ากลัว และต้องกล้าที่จะแสดงออกเพื่ออภิวัฒน์สังคมได้อีกครั้งหนึ่ง
"ทรงกลด"หนุน"บิ๊กตู่"
ที่เมืองทองธานี พรรคพลังชาติไทยจัดประชุมสมาชิกพรรคทั่วประเทศกว่า 500 คน เป็นครั้งแรก หลังได้รับอนุญาตจาก คสช. โดยในช่วงเช้า มีการเลือกคณะกรรมการบริหารพรรค ซึ่งที่ประชุมมติเลือก พล.ต.ทรงกลด ทิพย์รัตน์ อดีตคณะทำงานเตรียมการปฏิรูปเพื่อคืนความสุขให้คนในชาติ เป็นหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรค โดยมีนายบุญเกียรติ์ ทิพย์รัตน์ เป็นเหรัญญิกพรรค, นายโชติวุฒิ เขียนนิลศิริ เป็นนายทะเบียนสมาชิกพรรค ขณะที่สมาชิกพรรคคนสำคัญที่มาวันนี้ อาทิ นายสดใส รุ่งโพธิ์ทอง นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง เจ้าของเพลง “น้องพร”
พล.ต.ทรงกลดให้สัมภาษณ์ว่า การเปิดตัวพรรคพลังชาติไทยในวันนี้ มีเจตนารมณ์แก้ไขปัญหาประเทศชาติ โดยมั่นใจว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้ทั้งหมด โดยตั้งเป้าจะส่ง ส.ส.ลงสมัครครบทั้ง 350 เขต ตนจะทำการเมืองสีขาว คือไม่สาดโคลนไปหาพรรคใด เป็นมิตรกับทุกพรรค ต้องรับช่วงต่อจากการปฏิรูปประเทศ เพราะอยู่คณะปฏิรูปประเทศ ส่วนจะเชื่อมโยงพรรคทหารหรือไม่ เห็นว่าพรรคทหารไม่มีจริง เนื่องจากการเลือกตั้งมาสู่โหมดประชาธิปไตยแล้ว ประชาชนเป็นคนตัดสินใจเลือกใครมาเป็นนายกรัฐมนตรี สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนดี และผลสำรวจความคิดเห็นจากทุกสำนักที่เคยออกมาก็ให้ท่านได้อันดับ 1
"ผมจะยอมรับนายกฯ คนนอกจาก 4 เงื่อนไขเท่านั้น คือ ประชาชนต้องเอาด้วย ต้องมีอุดมการณ์ทำเพื่อชาติและประชาชน ต้องดี เก่งกล้า และสำคัญที่สุดจะต้องมีความจริงใจ ซื่อสัตย์กับประชาชนและประเทศชาติด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่า พล.อ.ประยุทธ์มีคุณสมบัติครบ แต่ว่าทุกอย่างอยู่ที่ประชาชน ถ้าประชาชนเอาด้วย ผมก็ยินดี" พล.ต.ทรงกลดกล่าว
ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานในการประชุม ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยได้มีมติคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง กกต.ทั้ง 7 คน จำนวน 17 คน อาทิ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์, พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ, พล.อ.นพดล อินทปัญญา, พล.อ.ธีรเดช มีเพียร เป็นต้น โดยใช้เวลาในการทำงาน 60 วัน
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติฯ กกต.ครั้งนี้ ไม่มีชื่อของ พล.อ.อู้ด เบื้องบน สมาชิก สนช. ซึ่งเป็นประธานตรวจสอบประวัติฯ ของ กกต.ครั้งที่ผ่านมา และ สนช.มีมติไม่ผ่านทั้ง 7 คน รวมทั้งมีคลิปฉาวเสียงการพูดคุยที่ระบุว่านายกฯ ไม่ปลื้มในตัวบุคคลที่จะมาเป็น กสทช.ดังกล่าวด้วย
ต่อมามีการประชุมคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งเป็น กกต.นัดแรก เพื่อเลือกประธานและตำแหน่งต่างๆ โดยภายหลังการประชุม นายสมชาย แสวงการ ในฐานะโฆษกคณะ กมธ.ตรวจสอบฯ เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติเลือก พล.อ.ไพชยนต์ ค้าทันเจริญ เป็นประธาน กมธ. พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ รองประธาน กมธ.คนที่ 1 และนายอนุวัฒน์ เมธีวิบูลวุฒิ เป็นรองประธาน กมธ.คนที่ 2
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีการพิจารณาเบื้องต้นว่า จะตรวจสอบประวัติให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 9 ก.ค. ในช่วงนี้จะส่งหนังสือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับว่าที่ กกต.ทั้ง 7 คน และให้ส่งข้อมูลกลับมายัง กมธ.ในวันที่ 31 พ.ค.พร้อมกับทำการประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์ของ สนช. เพื่อให้ประชาชนได้ส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกลับเข้ามาให้ทาง กมธ.ได้พิจารณา โดย กมธ.จะประชุมอีกครั้งในวันที่ 25 พ.ค. ประธาน กมธ.ได้ยืนยันว่าจะพิจารณาข้อมูลทั้งหมดด้วยความเป็นธรรมและยุติธรรมกับว่าที่ กกต.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |