17 มกราคม 2564 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ได้โพสตเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat เกี่ยวกับ สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
สถานการณ์ทั่วโลกสุดสัปดาห์ 17 มกราคม 2564...

เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 677,692 คน รวมแล้วตอนนี้ 94,881,105 คน ตายเพิ่มอีก 13,481 คน ยอดตายรวม 2,029,009 คน

ขณะนี้ยอดติดเชื้อใหม่ต่อวันนั้นมีที่น่าสนใจคือ ในกลุ่มประเทศที่มียอดสะสมสูงสุด 10 อันดับแรกยังคงติดท็อปเทนอยู่เป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นตุรกี ในขณะที่มีประเทศเม็กซิโกและโคลอมเบีย มียอดสูงมาแทรกในสิบอันดับแรกด้วย เป็นไปในลักษณะการระบาดซ้ำที่ทวีความรุนแรงขึ้น (resurgence) 

หากดูอัตราตายในกลุ่มประเทศที่มียอดติดเชื้อสะสมสูงสุด 20 อันดับแรกของโลกตอนนี้ เม็กซิโก (อันดับ 13) สูงสุด 8.6% ในขณะที่ตุรกี (อันดับ 7) ต่ำสุดอยู่ที่ 1% 

อเมริกา เมื่อวานติดเชิ้อเพิ่ม 227,209 คน รวม 24,272,648 คน ตายเพิ่มอีก 3,677 คน ยอดตายรวม 404,837 คน

อินเดีย ติดเพิ่ม 16,642 คน รวม 10,558,710 คน

บราซิล ติดเพิ่มถึง 62,452 คน รวม 8,456,705 คน 

รัสเซีย ติดเพิ่ม 24,092 คน รวม 3,544,623 คน 

สหราชอาณาจักร ติดเพิ่มอีก 41,346 คน รวม 3,357,361 คน 

อันดับ 6-10 เป็น ฝรั่งเศส ตุรกี อิตาลี สเปน และเยอรมัน ส่วนใหญ่ติดกันหลักหมื่นต่อวัน 

แถบอเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย อย่างโคลอมเบีย เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ ยูเครน แคนาดา รวมถึงอิหร่าน บังคลาเทศ อิสราเอล อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ยังติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลายหมื่น 

แถบสแกนดิเนเวีย บอลติก และยูเรเชีย ก็ยังมีติดเชื้อเพิ่มอย่างต่อเนื่อง

เมียนมาร์ เกาหลีใต้ จีน และไทย ติดเพิ่มหลักร้อย ส่วนฮ่องกง สิงคโปร์ กัมพูชา และออสเตรเลีย ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่เวียดนามติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ 

...สถานการณ์ในเมียนมาร์ เมื่อวานติดเพิ่มขึ้นอีก 491 คน ตายเพิ่มอีก 16 คน ตอนนี้ยอดรวม 133,869 คน ตายไป 2,942 คน อัตราตายตอนนี้ 2.2%...

ในแถบเอเชียนั้นหลายประเทศรุนแรงขึ้นชัดเจน เช่น จีน ติดเพิ่มหลักร้อยต่อวันมาติดต่อกัน และมาเลเซียก็มียอดติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดกว่าสี่พันคนต่อวัน สูงสุดเท่าที่เคยเป็นมา 

ในขณะที่ประเทศที่เจอระลอกสามอย่างญี่ปุ่น ยังคงติดเชื้อกว่าหกพันคนต่อวัน ในขณะที่เกาหลีใต้ และฮ่องกง ดูจะคุมได้ดีขึ้น

มองโลกแล้วมามองไทยเรา...

ไม่ว่าจะวิเคราะห์จากบทเรียน 75 ประเทศที่ระบาดซ้ำก่อนเรา หรือวิเคราะห์ผ่านทางจำนวนการตรวจเปรียบเทียบกับอัตราการตรวจพบเชื้อในประเทศที่ใกล้เคียงกับเรา ทั้งสองแนวทางล้วนชี้ให้เห็นอย่างสอดคล้องกันว่า ระบาดซ้ำระลอกนี้ของไทยน่าจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อแฝงโดยยังไม่ได้รับการตรวจอีกมากพอสมควร 

ดังจะเห็นได้จากลักษณะการกระจายของเคสติดเชื้อที่ไม่ได้จำกัดวงอยู่ที่กลุ่มเสี่ยงต่างๆ ดังที่เคยเห็นมาในระลอกแรกอีกต่อไป แต่กระจายไปยังคนทั่วไปที่ใช้ชีวิตประจำวันในสังคม ทั้งในหมู่สมาชิกในครอบครัว ญาติสนิท มิตรสหาย คนที่ทำงาน คนไปร่วมงานและกิจกรรมต่างๆ ในสังคม ฯลฯ

หากเราตัดวงจรการระบาดไม่ได้ จะส่งผลให้เกิดคนติดเชื้อทั้งไม่มีอาการและมีอาการ จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยส่วนใหญ่จะไม่รู้ตัว เพราะไม่ได้รับการตรวจ และจะเกิดผลกระทบตามมาในระยะยาว กว่าจะทราบสถานการณ์ก็จะเห็นคนป่วยจำนวนมากพร้อมๆ กัน หรือในเวลาไล่เลี่ยกัน

นอกจากนี้หากมองยาวๆ ในเรื่องสุขภาพของคนที่เคยติดเชื้อโควิด-19 นั้น พบว่าแม้จะได้รับการดูแลรักษาจนออกจากโรงพยาบาล หรือหายจากการติดเชื้อเดิมแล้ว ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยจะยังมีอาการคงค้างต่างๆ อย่างเรื้อรังหลายต่อหลายเดือน ที่เราเรียกว่า "chronic COVID" หรือ "COVID long hauler" ล่าสุดมีการศึกษาในผู้ป่วยราว 1,700 คนในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน พบว่า มีถึง 76% ที่มีอาการคงค้างต่างๆ หลังการรักษา เช่น อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ ฯลฯ แต่เดิมเคยมีการศึกษาในแถบยุโรป เช่น สหราชอาณาจักร มีการรายงานว่าจะพบภาวะดังกล่าวแตกต่างกันไปตั้งแต่ 10% ไปจนถึงเกือบ 50% ของผู้ป่วยทั้งหมด 

ลักษณะอาการคงค้างเหล่านั้นจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชากร และส่งผลต่อผลิตภาพในการทำงานต่างๆ อีกด้วย 

ดังนั้นประชาชนทุกคนจึงควรป้องกันตนเองอย่าให้ติดเชื้อ ตระหนักถึงสถานการณ์ระบาดรุนแรงในปัจจุบัน

ใส่หน้ากากเสมอ ล้างมือบ่อยๆ อยู่ห่างคนอื่นอย่างน้อยหนึ่งเมตร และคอยสังเกตอาการตนเองและครอบครัว หากไม่สบาย ขอให้รีบไปตรวจรักษา

อยู่บ้านเถิดครับ ออกเท่าที่จำเป็น ไม่กินดื่มในร้าน ซื้อกลับบ้านดีที่สุด