คำเตือนจาก FBI บอกว่ามีการวางแผน “ประท้วงติดอาวุธ” (armed protests) ใน 50 รัฐทั่วประเทศ ช่วง 16-20 มกราคมนี้ เพื่อต่อต้านการสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีโจ ไบเดน วันที่ 20 มกราฯ
รัฐบาลกลางของสหรัฐยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยในกรุงวอชิงตันช่วงนี้เข้าขั้นสูงสุด
เรียกพิธีสาบานตนว่าเป็น “National Special Security Event” หรืองานที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยสูงพิเศษแห่งชาติ
มีการระดมทหารรักษาดินแดน หรือ National Guards ถึง 15,000 คนมาวางกำลังที่วอชิงตังเพื่อป้องกันเหตุร้าย
มีคำสั่งให้ตั้งด่านตรวจรอบๆ เมืองหลวงเพื่อสกัดกลุ่มก่อเหตุร้ายที่อาจจะเตรียมเข้ามาก่อเรื่องในช่วงนี้
อย่างน้อย 16 กลุ่มได้ลงทะเบียนเพื่อทำกิจกรรมประท้วงในช่วงนั้น
หลายกลุ่มจะมาพร้อมอาวุธ
ส่วนใหญ่เป็นผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ แบบ “ฮาร์ดคอร์” ซึ่งทำให้เกิดความกังวลกันอย่างกว้างขวางว่าอาจจะมีความพยายามจะก่อการจลาจลรอบใหม่คล้ายกับเหตุการณ์บุกตึกรัฐสภา เมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา
มีคำแถลงการณ์จากนายกเทศมนตรีวอชิงตัน, ว่าการรัฐแมรีแลนด์และเวอร์จิเนียรอบๆ เมืองหลวงเรียกร้องให้ประชาชนคนอเมริกันร่วมกิจกรรมการสาบานตนของผู้นำคนใหม่ที่บ้านผ่านระบบออนไลน์
ทีมงานของโจ ไบเดน ยืนยันว่าแม้จะมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยส่วนตัวของประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐ แต่เขาก็ยังจะแสดงตนในที่เปิดเผยเพื่อทำพิธีสาบานตนพร้อมกับรองประธานาธิบดีกามาลา แฮร์ริส
เพราะนี่เป็นจังหวะที่เขาต้องแสดงความเป็นผู้นำที่ไม่หวาดหวั่นต่อการข่มขู่จากกลุ่มคนหัวรุนแรงที่ได้รับการสนับสนุนจากโดนัลด์ ทรัมป์
สื่อสหรัฐใช้คำว่า Trump Insurrection อันหมายถึงการก่อการจลาจลที่ทรัมป์เป็นผู้บงการ
ทรัมป์ประกาศแล้วว่าจะไม่ไปร่วมพิธีสาบานตนของไบเดน
แต่รองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ บอกว่าจะไปร่วมตามมารยาททางการเมืองของอเมริกาที่มีมายาวนาน
วันนี้สหรัฐอเมริกา, ประเทศมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลกมาตั้งแต่ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง, กลายเป็น “ป้อมค่ายเตรียมทำสงคราม”
ผู้คนอยู่ใต้ความหวาดกลัว ไม่วางใจแม้กระทั่งต่อคนที่นั่งในทำเนียบขาวอย่างทรัมป์
กลัวว่าก่อนจะหมดเทอม ทรัมป์อาจจะก่อเหตุร้ายระดับโลกได้ เพราะเขายังมีอำนาจที่จะกดปุ่มนิวเคลียร์ได้
ถึงขั้นที่แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ต้องหารือกับพลเอกมาร์ก มิลเลย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐว่า
จะทำอย่างไรจึงสกัดไม่ให้ทรัมป์เข้าถึงรหัสคำสั่งยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์
มีภาพออกมาเห็นทั้ง 2 คนพูดคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทำให้เกิดข่าวลือไปกว้างไกล
เพราะก่อนหน้านี้มีข่าวหลุดออกมาว่า ทรัมป์เรียกแม่ทัพนายกองบางคนไปถามว่าจะมีวิธีอย่างไรที่ทหารจะเข้ามาระงับการนับคะแนนการเลือกตั้งเพื่อไม่ให้ไบเดนได้ชัยชนะ
ถ้าจริง นั่นคือการ “รัฐประหาร” หรือ attempted coup ครั้งแรกของอเมริกา
โฆษกของพลเอกมาร์ก มิลเลย์ ก็ออกมาแถลงยืนยันว่า ผู้นำรัฐสภาและผู้นำกองทัพได้พบหารือกัน โดยอธิบายว่า
“ประธานสภาผู้แทนฯ เป็นผู้ขอหารือกับพลเอกมาร์ก มิลเลย์ ซึ่งประธานคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐได้ตอบข้อสงสงสัย และอธิบายขั้นตอนกระบวนการสั่งการยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ให้ท่านประธานสภาฯ ได้รับทราบ”
ขั้นตอนที่ว่านี้ระบุว่าทรัมป์ไม่อาจจะตัดสินใจกดปุ่มนิวเคลียร์เองได้ ต้องมีการขอความเห็นจากผู้เกี่ยวข้องด้านความมั่นคงก่อน
เพโลซีส่งหนังสือเวียนถึง ส.ส.พรรคเดโมแครตเพื่ออธิบายเหตุผลที่ต้องขอพบนายกทหารคนนี้ว่า “เราต้องหาทางป้องกันไม่ให้ประธานาธิบดีผู้ที่อารมณ์ปรวนแปร ควบคุมตัวเองไม่ได้ไม่ให้ก่อเหตุที่เป็นอันตรายมากไปกว่านี้ เราต้องหาทางทุกวิถีทางเพื่อปกป้องชาวอเมริกัน ปกป้องประเทศและประชาธิปไตย”
ไบเดนตกอยู่ในที่นั่งที่ลำบากอย่างยิ่ง เพราะเขาต้องพยายามทำให้คนที่เชียร์ทรัมป์เห็นว่าเขาพร้อมจะทำงานเพื่อรับใช้คนทุกหมู่เหล่า ไม่เฉพาะคนที่โหวตให้เขาเท่านั้น
แต่หากทรัมป์ไม่มาร่วมพิธีสาบานตนของเขา ไบเดนก็ไม่ว่าอะไร
“เป็นข่าวดีอย่างยิ่งที่นายทรัมป์ไม่ร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีของผม มันเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องในชีวิตผม ที่ผมเห็นด้วยกับเขาเป็นอย่างยิ่ง”
ไบเดนบอกว่าทรัมป์ได้ทำให้คนอเมริกันและประเทศชาติเป็นที่อับอายไปทั่วโลก
“ทรัมป์ไม่มีคุณค่าเพียงพอที่จะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ” ไบเดนยืนยัน
ไบเดนกำลังเข้าบริหารประเทศในยามที่บ้านเมืองเข้าสู่วิกฤติทั้งด้านการเมือง, ความมั่นคง, สังคม
และวิกฤติโควิด-19 ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงแต่อย่างไร.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |