(บรรยากาศริมน้ำบ้านรักไท)
แม่ฮ่องสอน กับฉายาที่รู้จักกันว่าเป็นเมืองสามหมอก ด้วยภูมิประเทศที่มีภูเขาเรียงกันสลับซับซ้อน ทำให้มีหมอกปกคลุมตลอดเกือบทั้งปี และยังมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ชนเผ่า วัฒนธรรมและประเพณี ที่มีประชากรอาศัยอยู่น้อยบนพื้นที่ที่มากเป็นอันดับ 8 ของประเทศ แต่ก็อบอวลไปด้วยความสุข ความสงบ และเป็นกันเอง แม้จะเป็นเมืองรอง แต่ถ้าเป็นหน้าหนาว แม่ฮ่องสอนก็เป็นหนึ่งในหมุดหมายของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ
ไปเยือนแม่ฮ่องสอนครั้งนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้พาไปสัมผัสบรรยากาศในช่วงโลว์ซีซั่น เพราะเป็นช่วงหน้าร้อนเมืองไทย แต่ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ หลังเครื่องบินแล่นลงจอดที่สนามบินเชียงใหม่ สิ่งที่ทุกคนต่างเตรียมพร้อมคงไม่มีเพียงแค่สัมภาระ แต่ร่างกาย จิต ใจ และยาแก้เมารถหรือถุงพลาสติกสักใบพกไว้ก็คงจะดี เพราะระยะทางที่กว่าจะไปถึงแม่ฮ่องสอนก็ต้องพิชิตโค้งถึง 1,864 โค้ง เพื่อไปถึงจังหวัดแม่ฮ่องสอน
ตะวันตกดิน พวกเราก็เดินทางมาถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เก็บสัมภาระเข้าที่พัก หลังมื้อเย็นมีโปรแกรมไปเดินเล่นชิลๆ ที่วัดจองคำ วัดแห่งแรกของจังหวัดที่สร้างขึ้นในปี 2370 ตามคำบอกเล่าของคนที่นี่ บอกว่าที่นี่ตอนกลางคืนวัดจองคำสวยมาก เพราะเปิดไฟสว่างไสว แสงไฟที่ประดับตกแต่งรอบๆ พระธาตุของวัดสะท้อนลงไปในสระน้ำด้านหน้าสวยงามอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่กว่าพวกเราจะมาถึงแสงไฟก็มืดสนิท มีเพียงสปอตไลต์สาดส่องความงดงามของพระธาตุให้ได้ชมเท่านั้น
(แสงแรกที่สะพานซูตองเป้)
เวลาตี 5 เราขมีขมันกันลุกจากเตียงเพื่อเดินทางไปชมแสงแรกที่สะพานซูตองเป้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ช่วงฤดูทำนาแต่ที่สะพานแห่งนี้จะถูกประดับประดาไปด้วยสีเขียวของต้นข้าว ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ และภูเขาที่เรียงซ้อนกัน ก็ได้ความรู้สึกที่แตกต่างไปอีกแบบ ภาพของท้องนาที่เกือบจะว่างเปล่า ตัดกับทางเดินสะพานที่ทอดยาวไปจนสุดตา
(เช้าตรู่ชาวบ้านรอใส่บาตรที่สะพานซูตองเป้)
เห็นวิวของวัดซูตองเป้เป็นฉากหลังที่เด่นตระหง่านรับแสงพระอาทิตย์ยามเช้าตรู่ ต้องบอกว่าคุ้มกับการตื่นเช้ามากๆ พวกเรายังได้ทำบุญใส่บาตรพระที่มาบิณฑบาตบริเวณสะพานซูตองเป้ด้วย
(ศาลาขอพร 4 หลัง วัดซูตองเป้)
ใครสะดวกเดินจากสะพานไปอีกวัด ระยะทาง 500 เมตรก็ไม่ว่ากัน แต่อย่าลืมไปเขียนคำอธิษฐานบนไม้ไผ่กับศาลาขอพรทั้ง 4 หลังที่ชาวบ้านที่นี่เขาศรัทธากันมากทีเดียว เพื่อไม่ให้เสียเวลาด้วยระยะทางที่ไม่ไกลกันมากนัก พวกเราได้แวะเก็บภาพวัดจองคำในช่วงเช้า
(วัดจองคำยามเช้า)
(พระธาตุดอยกองมู)
จากนั้นก็ได้มุ่งหน้าเดินทางต่อไปยังพระธาตุดอยกองมู ห่างจากตัวเมืองประมาณ 3 กิโลเมตร บนยอดเขาประดิษฐานพระธาตุเจดีย์ 2 องค์ พระเจดีย์องค์ใหญ่ที่สร้างในปี 2403 บรรจุพระธาตุของพระโมคคัลลานะจากประเทศเมียนมา ในส่วนของพระธาตุเจดีย์องค์เล็กสร้างในปี 2417 โดยพระยาสิงหนาทราชา เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรกเป็นผู้สร้าง นอกจากจะได้กราบไหว้ขอพรแล้ว ก็ยังได้สูดรับโอโซนบนยอดเขาพร้อมกับวิวสวยๆ ของเมืองแม่ฮ่องสอน
(ปางอุ๋งในฤดูร้อน)
หลายคนคงเคยมาโครงการพระราชดำริปางตอง 2 หรือที่รู้จักกันในชื่อ ปางอุ๋ง อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่บนยอดเขาสูง ซึ่งบริเวณที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมาก ก็คือ บริเวณริมอ่างเก็บน้ำที่เต็มไปด้วยต้นสนปลูกเรียงรายกัน กลายเป็นสถานที่ยอดฮิตในช่วงฤดูหนาว หรือช่วงปลายฝนต้นหนาว แต่หากมาในช่วงหน้าร้อนขนาดนี้ถือว่าเป็นตัวช่วยคลายร้อน นั่งรับลมเย็นๆ ได้สบาย
(อาหารจีนร้านลีไวน์)
สัมผัสบรรยากาศฟินๆ แล้วก็ต้องตามมาด้วยอาหารอร่อยๆ พวกเราจึงไปฝากท้องที่ร้านลีไวน์ บ้านรักไท ร้านอาหารจีนยูนนานที่ติดกับคลองกลางหมู่บ้าน
(ร้านอาหารจีนยูนนาน บ้านรักไท)
สามารถเห็นบ้านเรือนที่ตั้งอยู่บนเนินเขาได้อย่างชัดเจน อาหารขึ้นชื่อถูกตั้งเรียงรายบนโต๊ะ แต่ที่ถูกปากคงจะเป็นผัดเผ็ดกระดูกหมู ที่แม้ว่าหน้าตาดูเหมือนเผ็ดจัดจ้านแต่รสชาตินั้นคนไม่ทานเผ็ดก็สามารถทานได้ง่าย เนื้อหมูติดกระดูกก็เยอะและนุ่มละมุ่นลิ้น
(ผัดเผ็ดกระดูกหมูสุดอร่อย)
ที่นี่เขายังมีจำหน่ายชาหลากหลายรสชาติ แต่ละคนจึงช็อปกันคนละห่อสองห่อเอากลับไปฝากคนที่บ้านใช้เวลานั่งรถก็หลายชั่วโมง ขึ้นลงหลายสถานที่ ลองแวะมาผ่อนคลายให้กับร่างกายด้วยการพอกหน้า หรือจะพอกตัวด้วยโคลน แช่เท้าด้วยน้ำแร่ ที่ภูโคลน คันทรี คลับ
(สปาโคลน แช่เท้าในน้ำแร่ สุดผ่อนคลาย)
ที่เป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยว และให้บริการด้านสุขภาพและความงาม ด้วยโคลนเดือดบริสุทธิ์สีดำ และน้ำแร่ธรรมชาติใต้พื้นดินที่มีความร้อนตั้งแต่ 60-140 องศาเซลเซียส ที่ใช้เวลาแช่ประมาณ 15 นาทีกำลังพอดี และมีให้เลือกหลายราคาตามความสะดวกของนักท่องเที่ยว ก่อนจะไปยังจุดหมายต่อไปที่บ้านจ่าโบ่ อ.ปางมะผ้า ก็อย่าพลาดมาดูให้เห็นกับตาว่าอุทยานแห่งชาติถ้ำปลาที่มีปลาพลวงหินนับร้อยแหวกว่ายอยู่ในถ้ำอย่างมหัศจรรย์
(บ้านเรือนชาวมูเซอดำ)
บนยอดดอยที่อุดมสมบูรณ์ บวกกับบรรยากาศดีๆ ที่บ้านจ่าโบ่ อ.ปางมะผ้า ชุมชนชาวเขาเผ่ามูเซอดำ นางนะกอ ไพรเพชราทิพย์ ออกมาต้อนรับพวกเราด้วยท่าทีใจดี พร้อมกับเล่าให้ว่า มีประชากรที่อาศัยอยู่ 240 คน ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธผี มีอาชีพหลักคือ ปลูกข้าว และข้าวโพด เลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะหมูดำที่ทุกคนจะต้องเลี้ยงเพื่อนำมาประกอบพิธีต่างๆ ของหมู่บ้าน
ปัจจุบัน การท่องเที่ยวทำให้ชาวบ้านมีรายได้หลังจากได้ทำมากว่า 15 ปี โดยได้ดึงจุดเด่นและสิ่งที่ทำเป็นประจำ นำมาเป็นกิจกรรมให้กับนักท่องเที่ยว เช่น เดินป่าขึ้นภูผาหมอก ชมถ้ำผีแมน หรือโรงไม้โบราณที่มีอายุกว่า 2,500 ปี การเย็บผ้าประจำชนเผ่า การจักสานเครื่องใช้ การทำแคนที่จะไม่เหมือนกับแคนของภาคอีสาน ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกทำตามความสะดวก
(เป่าแคน เย็บผ้า วิถีชีวิตชาวมูเซอดำ)
ความเรียบงายและลวดลายที่เป็นเส้นตรงดูธรรมดานี้ คือเสื้อผ้าที่ชาวจ่าโบ่สวมใส่ ทุกตัวถูกเย็บถอยหลังด้วยมืออย่างประณีต ใส่ใจและใช้เวลาการทำในแต่ละตัวถึง 3 เดือน สีสันของผ้าที่ถูกประดับตกแต่งก็มีความหมายลึกซึ้ง อย่างสีแดง หมายถึง เลือดหมูที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรม สีเหลือง แทนน้ำชาเทียนขี้ผึ้งที่ชาวบ้านได้ทำขึ้นมาเอง สีเขียว สีฟ้า และสีน้ำเงิน ถูกแทนเป็นสัญลักษณ์ของพืชผัก สีขาว แทนข้าวปุกที่มีไว้บูชาเทพเจ้า และสีดำ คือหมูดำ นับว่าทุกอย่างที่ชาวบ้านทำขึ้นมาล้วนเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตและความเชื่อ ความศรัทธา ใครอยากลองมาสัมผัสแบบค้างแรม ก็สามารถพักที่โฮมสเตย์ เพียงคืนละ 200 บาทต่อคน อาหารก็มื้อละ 100 ต่อคน หรือจะติดต่อทำกิจกรรมต่างๆ ได้กับพี่นะกอ โทร. 09-9894-6654
(วัดน้ำฮู)
ค่ำคืนสุดท้ายที่แม่ฮ่องสอน หากจะไม่ไปปายก็คงเหมือนมาไม่ถึง พวกเราจึงเลือกมากราบไหว้ขอพรพระอุ่นเมือง ที่วัดน้ำฮู อ.ปาย ที่เป็นที่รู้จักและศรัทธาของชาวบ้านเพราะพบว่ามีน้ำซึมออกจากพระโมฬีลึกประมาณ 4 นิ้ว ประดิษฐานอยู่ตรงกลางด้านหน้าพระประธานองค์ใหญ่ภายในโบสถ์ ซึ่งมีลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หรือพระสิงห์รุ่นที่ 3 ทั้งองค์ทำจากทองสำริด ที่คาดว่าทำขึ้นในสมัยเชียงแสน
(พระอุ่นเมือง วัดน้ำฮู)
ตามความเชื่อที่เล่าต่อกันมาว่า พระอุ่นเมืองนี้ได้สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อถวายให้กับพระสุพรรณกัลยา โดยในทุกวันที่ 25 มกราคมของทุกปี จะมีการจัดงานบวงสรวงและสืบชะตา จบทริปวันนี้ด้วยการเดินเล่นที่ถนนคนเดินปายแบบสบายไม่แออัด ทำให้ฉันแอบคิดว่าบางทีการมาเที่ยวช่วงโลว์ซีซั่นที่แม่อ่องสอนเมืองรองแห่งนี้ก็มีครบทุกอรรถรส แถมยังรู้สึกชิลๆ ฟินๆ ดีเหมือนกันนะ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |