โควิด-19 รอบสอง เริ่มขาลงปลายเดือน ม.ค.


เพิ่มเพื่อน    

 ปลายเดือน ม.ค.เลยจุดพีก ตัวเลขการติดเชื้อจะลดลง

            สถานการณ์การแพร่ระบาดและติดเชื้อโควิด-19 รอบสองในประเทศไทย ยังถือเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศไทยในเวลานี้ โดยที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังใช้หลายมาตรการเพื่อควบคุมการแพร่เชื้อไม่ให้ลุกลามในวงกว้าง

            เรื่องนี้มีความเห็นจาก "ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อมร ลีลารัศมี นายกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย-แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์โรคติดเชื้อ-อดีตประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย" ที่เป็นอาจารย์แพทย์ชั้นผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงในวงการสาธารณสุข และเป็นหนึ่งในทีมแพทย์ชั้นผู้ใหญ่ที่เคยไปให้ข้อเสนอแนะต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ตอนโควิดระบาดรอบแรกหนักๆ ช่วงมีนาคม จนนายกรัฐมนตรีนำความเห็นดังกล่าวไปสู้กับโควิด จนเกิดปรากฏการณ์ไทยชนะมาแล้ว โดย "นพ.อมร" ประเมินว่า สถานการณ์ต่อจากนี้โดยเฉพาะช่วงปลายเดือน ม.ค. น่าจะเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นในการควบคุมการแพร่เชื้อ จนตัวเลขการติดเชื้อในประเทศน่าจะลดลงมาได้ค่อนข้างมาก

            "ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.อมร" เกริ่นถึง สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ว่า หลังเกิดกรณีพบการติดเชื้อโควิดในกลุ่มผู้ใช้แรงงานต่างด้าวที่จังหวัดสมุทรสาครร่วม 500 คน จากนั้นได้มีการล็อกดาวน์ในพื้นที่ทันทีพร้อมกับการรักษาพยาบาลผู้ติดเชื้อ ซึ่งแม้อาจมีแรงงานต่างด้าวเล็ดลอดออกนอกพื้นที่ไปจำนวนหนึ่งแต่ก็ไม่น่าจะมาก โดยตอนแรกคิดว่าก่อนเข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมาตัวเลขผู้ติดเชื้อน่าจะลดลง แต่ผลก็อย่างที่เห็น โดยสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือไปพบการติดเชื้อจากประชาชนที่เข้าไปเล่นการพนันใน "บ่อน" ที่แสดงให้เห็นว่าการติดเชื้อในประเทศมีการไปพบในจุดอื่นๆ

            ...คนติดเชื้อโควิดในบ่อนที่เป็นการเปิดโดยผิดกฎหมาย  ก็ทำให้เกิดความยากลำบากเช่นกันในการควบคุมระยะแรก  เพราะพอไปสอบสวนโรค คนที่ติดเชื้อจากบ่อนก็ไม่กล้าให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ จึงทำให้การทำงานของกองระบาดฯ กรมควบคุมโรคพบปัญหา เพราะคนที่ติดเชื้อโควิดไม่ต้องการบอกว่าไปเล่นการพนันจากบ่อนที่ไหน ส่งผลให้การสอบสวนโรคไม่สามารถบอกได้ว่า จุดที่เจอการติดเชื้อร่วมกันของคนจำนวนมากอยู่ที่จุดใด จนทำให้การควบคุมป้องกันทำได้ยากมากขึ้น เพราะไม่รู้แหล่งแพร่เชื้อที่ชัดเจน จึงทำให้ฝ่ายภาครัฐต้องใช้มาตรการควบคุมแบบครอบคลุมในจังหวัดใหญ่ๆ  เพื่อให้ทุกคนพยายามไม่เคลื่อนย้ายตัวเอง

            ...ผมมีความคิดเห็นว่าหากเราสามารถคุมพื้นที่ไว้ได้ ทุกอย่างก็จะดีขึ้น ก็ขอความร่วมมือกลุ่มบุคคลที่ไปมั่วสุมตามสถานที่ต่างๆ ขอให้เลิก ให้เห็นแก่ชาติ หากร่วมมือกันได้ประมาณ 4 สัปดาห์จะทำให้เชื้อเริ่มนิ่ง ลดลง จนหายไป  หรือเหลือคนติดเชื้อน้อยมาก อาจพบแค่วันละ 2-3 คน ยิ่งหากทุกคนให้ความร่วมมือโดยพร้อมใจกันสวมหน้ากากอนามัยป้องกันตัวเอง และใช้ชีวิตแบบ new normal หลีกเลี่ยงการไปอยู่ในที่ซึ่งมีคนจำนวนมากมารวมตัวกันเช่นสถานบันเทิง ถ้าทำได้จะทำให้ตัวเลขการติดเชื้อต่างๆ ก็จะเริ่มนิ่ง นับจากช่วงนี้ไป ผลก็คือจะทำให้ตัวเลขการติดเชื้อโควิดในประเทศก็จะลดลง จนทำให้ในช่วง 4 สัปดาห์ต่อจากนี้ ทุกอย่างก็น่าจะฟื้นกลับมาได้โดยเร็ว ที่จะสะท้อนออกมาจากการตรวจหาการติดเชื้อ

            สำหรับการตรวจเพื่อหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะมีการแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม คือความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงต่ำ กลุ่มไม่มีความเสี่ยง ซึ่งผมอยากเสนอว่าก็ควรตรวจประชาชนที่อยู่ในกลุ่มความเสี่ยงต่ำและกลุ่มไม่มีความเสี่ยงด้วย เพื่อให้รู้ผลออกมาว่าบวกหรือไม่บวก เพราะส่วนมากจะไปเน้นการตรวจในกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงที่ให้ตรวจฟรี ส่วนกลุ่มอื่นต้องจ่ายเงิน แต่ผมว่าช่วง 4 สัปดาห์นี้รัฐบาลควรต้องยอมลงทุน โดยให้บางพื้นที่บางจังหวัดให้ตรวจฟรีสำหรับคนที่อยากตรวจ

            ...หากพื้นที่ใดถ้าตรวจหาเชื้อโควิด แล้วพบว่าส่วนใหญ่ผลออกมาเป็นลบหมด แสดงว่าจุดที่จะเป็นแหล่งแพร่กระจายไม่มีแล้ว จะทำให้เรามั่นใจได้ว่าระบบที่วางอยู่ทั้งการตรวจสอบ ติดตาม ควบคุม ทั้งของรัฐและที่ประชาชนให้ความร่วมมือกัน ทั้งหมดทำแล้วได้ผล เพราะหากไปตรวจเจอโควิดในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่ำ ไม่มีความเสี่ยง ตรวจครั้งใดก็เจอต่อเนื่อง ก็สะท้อนว่าระบบที่วางกันไว้ยังพบข้อผิดพลาด

            ผมก็หวังว่า ณ วันนี้เป็นต้นไปสถานการณ์น่าจะเริ่มคุมอยู่แล้ว แต่อันนี้ไม่นับรวมถึงกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้ามาทำงานในประเทศไทยที่มีโอกาสติดเชื้อโควิดได้ง่าย แต่ที่มีการพบการติดเชื้อแพร่เชื้อไปหลายสิบจังหวัด  หลังจากนี้ไปตัวเลขการติดเชื้อน่าจะเริ่มลงแล้ว และอีกไม่เกิน 7 วัน จำนวนเคสจากที่มีการตรวจ ที่ผมอยากเห็นมีการตรวจกันให้ได้มากๆ มันควรพบการติดเชื้อที่ต่ำกว่า 50 คนลงมา  อาจจะเหลือ 10-20 คนต่อวัน

            "นายกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย" ย้ำว่า สถานการณ์ในเวลานี้หากเราบล็อกไว้ได้ อย่างที่สมุทรสาครหากบล็อกไว้ได้ สุดท้ายตัวเลขการพบการติดเชื้อก็จะเริ่มค่อยๆ ลงมา หากให้ผมคาดการณ์ หากเราคุมกันได้อยู่ ก็คาดว่าถึงช่วง 14-15 มกราคม การพบการติดเชื้อในประเทศ ในทุกจังหวัดทั่วประเทศก็อาจลดต่ำลงเหลือระดับต่ำกว่าสิบคนต่อวัน ถ้าไม่มีการแพร่กระจายอีกต่อไป เพราะจากการดำเนินการต่างๆ ที่ทำออกมา ก็น่าจะทำให้ถึงช่วง 15  มกราคมก็น่าจะจบลง คืออาจพบการติดเชื้อในระดับที่ตกลงมาจากเหลือวันละต่ำกว่าสิบคน ก็อาจจะพบวันละเล็กน้อยเช่น 3-4 ราย กระจายในจังหวัดต่างๆ แล้วก็อาจจะเหลือศูนย์เลย คือไม่พบเลย ถ้าทุกอย่างดำเนินไปตามระบบ โดยไม่มีเรื่องของแรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองมาโดยผิดกฎหมายแล้วเราควบคุมไม่ได้ และต้องไม่มีการมั่วสุมตามจุดต่างๆ ก็น่าจะทำให้ตัวเลขการติดเชื้อในประเทศลดลงไปได้

            โดยเฉพาะช่วง 15-30 มกราคม ตัวเลขการพบผู้ติดเชื้อในประเทศน่าจะลดลงมา เหลือพบการติดเชื้อในระดับต่ำกว่าสิบคนต่อวัน ถ้าเราควบคุมกันโดยถูกต้อง อีกทั้งประชาชนทั่วไปต่างใช้ชีวิตป้องกันตัวเองแบบ new normal รวมถึงภาครัฐที่ต้องใช้กฎหมายเข้ามาช่วยควบคุม เพราะประชาชนส่วนใหญ่ร่วม 95 เปอร์เซ็นต์ ผมคิดว่าเขาพร้อมให้ความร่วมมือในการป้องกันควบคุม แต่จะมีประชาชนอีกส่วนหนึ่งประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ ที่คิดว่าไม่เห็นมีปัญหาอะไร แล้วก็ไปทำปัญหา ไปมั่วสุมต่างๆ แล้วมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ จนเข้ามาร่วมใช้ชีวิตกับประชาชนจำนวนมากในบางสถานที่ โดยเฉพาะในสถานที่แออัด อากาศไม่ถ่ายเท ที่ทำให้ง่ายต่อการแพร่เชื้อ-ติดเชื้อ

 

ยืนยันรพ.สนามมีความปลอดภัย

            "ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์อมร" กล่าวต่อไปว่า  หากถามว่าถึงขณะนี้คุมการแพร่เชื้อโควิดได้หรือไม่ได้ ก็คิดว่ายังคุมได้ เพราะเท่าที่ดูตัวเลขการติดเชื้อมันเริ่มลงมาแล้ว  จึงมองว่าตั้งแต่ 15 ม.ค.เป็นต้นไปจนถึงสิ้นเดือนมกราคม  เราจะเห็นตัวเลขชัดเจนมากขึ้น ซึ่งหากออกมาแบบนี้ก็ถือว่า เป็นผลงานของประชาชนทั่วไปที่มีความตระหนักในเรื่องนี้

            นอกจากนี้ สิ่งที่อยากขอก็คือเรื่องของ "โรงพยาบาลสนาม" ประชาชนอย่าไปกลัว เพราะถึงขณะนี้ยังไม่สามารถทราบได้ว่า สุดท้ายจะต้องใช้โรงพยาบาลสนามหรือไม่ ซึ่งโรงพยาบาลสนามจะมีลักษณะเปิด ตั้งอยู่ในที่กว้าง มีการถ่ายเทอากาศ ก็ทำให้เชื้อจะอยู่ได้ไม่นานเพราะเชื้อที่ลอยอยู่ในอากาศ หากโดนแดดอากาศก็แห้งหายไป ซึ่งหากไม่ได้เดินเข้าในพื้นที่ก็ไม่มีทางติดเชื้อได้ โรงพยาบาลสนามจึงไม่ใช่แหล่งแพร่เชื้อ ประชาชนก็ควรให้ได้มีการทำ เพราะการตั้งหากทำก็คงใช้งานไม่ได้นาน ยิ่งตอนนี้ดูแล้วเริ่มเข้าสู่ช่วงขาลง ประชาชนก็ไม่ควรออกมาต่อต้าน เพราะโรงพยาบาลสนามก็จะตั้งอยู่ห่างจากพื้นที่บ้านเรือนประชาชนอยู่แล้ว ไม่ได้ไปตั้งติดรั้วบ้านเรือนประชาชน จึงมีความปลอดภัย 

            ...ผมก็มองว่าถึงตอนนี้ เรื่องการควบคุมการแพร่เชื้อโควิดก็น่าจะคุมได้อยู่ ส่วนมาตรการต่างๆ ที่ภาครัฐทำออกมา  ก็คิดว่ามีความเข้มข้นพอสมควร แม้อาจจะต้องกระทบกับเรื่องของระบบเศรษฐกิจ แต่หากเราร่วมมือกันจริงๆ ก็คงไม่นาน ก็ไม่เกินอีกประมาณสองสัปดาห์ต่อจากนี้ มันจะเริ่มดีขึ้นทันทีทันควัน และอยากให้เหตุการณ์ช่วงขณะนี้เป็นบทเรียนว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วไม่ได้เป็นไปตามกฎหมายอย่าให้มันเข้ามา หลังจากนี้ทุกคนต้องช่วยกันฟื้นฟูสภาพ เพื่อควบคุมการแพร่เชื้อให้ได้ เพื่อให้เศรษฐกิจมันจะฟื้นขึ้นมาได้ด้วย

            ต่อจากนี้ถือว่าอยู่ในช่วงจุดเปลี่ยนที่จะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น ผมคิดว่าจะเป็นแบบนั้น คือจำนวนเคสมันจะลดลง ผมไม่คิดว่ามันจะระเบิดต่อไปอีกได้ ผมมองว่าตอนนี้กำลังคุมได้อยู่  แล้วหลังจากนี้ตัวเลขก็น่าจะลดลงมา โดยคิดว่าหลัง 15  มกราคม ตัวเลขพบการติดเชื้อในประเทศก็น่าจะลดลงไป  เหตุที่เชื่อว่าจะลดลงแบบนี้ เพราะหากที่สมุทรสาครคุมได้อยู่  ส่วนที่พบการติดเชื้อจากแหล่งต่างๆ เช่น บ่อน โกดังต่างๆ ที่ตอนแรกทำท่าจะไม่อยู่ แต่ตอนนี้รัฐบาลออกมาตรการต่างๆ  ที่เข้มข้นมากแล้วในการควบคุมการแพร่เชื้อ ที่สั่งการกันมาตั้งแต่ระดับนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการจังหวัด ก็จะทำให้เริ่มคุมได้อยู่ อีกทั้งมีการส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจหาการติดเชื้อให้ได้จำนวนที่มากในหลายแห่ง หากมีการลงทุนตรงนี้ มีการตรวจอย่างทั่วถึงแม้แต่กับกลุ่มเสี่ยงน้อย กลุ่มไม่มีความเสี่ยงก็ตรวจด้วยได้ แล้วพอตรวจแล้วไม่เจอ ผลออกมาเป็นลบ ก็เป็นการบอกว่าเราได้มาถูกทางแล้ว  ผมคิดว่าแบบนี้ที่เราอาจเจอช่วงโคม่าของเรื่องนี้ ก็คงเป็นช่วงสิ้นปี เข้าช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาที่คนออกไปพบปะเจอกัน  จนอาจมีการแพร่กระจายเชื้อ แต่หลังจากนี้ไปการติดเชื้อก็จะเริ่มลดลง เพราะจุด-สถานที่ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเป็นจุดแพร่กระจายเชื้อโควิดได้ถูกบล็อกไว้หมดแล้ว 

            ...ทำให้ถึงเวลานี้จากที่ให้สัมภาษณ์ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม เรื่องการติดเชื้อโควิดต่อไปจะเข้าสู่ช่วงขาลงแล้ว เพราะโอกาสอย่างเช่น คนเดินกันไปกันมาสวนทางกันแล้วจะมาติดกันเอง-มันยาก เพราะโดยหลักจะติดเชื้อได้ก็ต้องเช่น มีการมั่วสุมกัน มีการดริงก์กัน อยู่ในที่แออัด มีการพูดการร้องตะโกนเชียร์กัน หรือร้องคาราโอเกะด้วยกัน อยู่ด้วยกันเป็นชั่วโมง เช่นมีคนอยู่ในสถานที่นั้นร้อยคน โดยไม่รู้ใครเป็นใคร แล้วหากมีแค่ 3-4 คนมีเชื้อ ก็อาจมีการแพร่เชื้อกัน เพราะหากไม่มั่วสุมกันมันก็ติดยาก อย่างการไปเดินในห้างสรรพสินค้าหรือซื้อของใน department store ใหญ่ๆ ก็ไม่ควรเข้าไปอยู่นาน ไม่ควรอยู่เป็นชั่วโมง ต้องคิดว่าจะเข้าไปเพื่อทำอะไรเช่นซื้อของ ซื้อเสร็จก็รีบกลับออกไป

            ผมถึงบอกตอนต้นว่า เท่าที่ประเมินตัวเลขการติดเชื้อโควิด ต่อจากนี้ตัวเลขการติดเชื้อมันน่าจะลดลง เพราะตัวเลขต่างๆ ดูแล้วมันทำท่าว่าทุกอย่างจะเริ่มดี เพราะตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมา จะพบว่ามีการเข้ามาสั่งการต่างๆ แบบหนักแน่นเข้มข้นมากขึ้น ประชาชนก็เอาด้วย ดูแล้วถึงวันที่ 15  ม.ค.ก็น่าจะเห็นทิศทางที่ดี

            -ข่าวเรื่องพบว่าไวรัสโควิดกลายพันธุ์จากอังกฤษเริ่มเข้ามาแพร่เชื้อในประเทศไทย?

            คือตัวไวรัสเองจะมีไขมันเคลือบอยู่ ที่ปกติไวรัสการจะแบ่งตัวได้ ต้องเข้าไปในเซลล์ของร่างกายสิ่งมีชีวิต แล้วทำ  copy แล้วก็ออกมา ซึ่งการทำของไวรัสเอง มันไม่เคยทำได้สมบูรณ์แบบ ไม่ได้เหมือนเครื่องจักรใหญ่ๆ ตัวไวรัส การ copy ก็อาจจะจับผิดจับถูกกันเองบ้าง อีกทั้งมีการกลายพันธุ์ตลอดเวลาที่เป็นเรื่องปกติของไวรัสเอง

            สำหรับกรณีโควิดที่อังกฤษ B.1.1.7 จะมีลักษณะจับเซลล์เก่งขึ้น แต่ยังไม่ถึงจุดที่จะก่อโรคได้มากขึ้น สายพันธุ์  B.1.1.7 ก็เลยจะมาแทนสายพันธุ์ G ที่จะถูกเบียดบังและตายไป เพราะพอตัว B.1.1.7 เข้าไปในเซลล์ร่างกายมนุษย์ได้ ตัวอื่นก็จะเข้าไปไม่ได้ เหมือนถูกแย่งที่ถูกบล็อกไว้ ก็เหมือนบ้าน มีบ้านหนึ่งหลัง คนแรกเข้าไปก็จองไว้ คนมาทีหลังก็เข้าไปไม่ได้ ถูกบล็อก ที่พบว่าสายพันธุ์ B.1.1.7 ทำให้มีการแพร่เชื้อได้ง่ายขึ้น แต่ยังไม่เจอว่าจุดที่ทำให้มีการตายมากขึ้น  เกิดความรุนแรงของโรคมากขึ้นในร่างกายมนุษย์ ยังไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ ทำให้แม้มีการแพร่กระจายง่าย แต่หากประชาชนป้องกันตัวเองได้ดี มันก็อาจจะแค่มีเชื้อสายพันธุ์  B.1.1.7 อยู่จำนวนหนึ่ง แต่คนเจ็บป่วยจะไม่มากขึ้น

            การที่ประเทศไทยเรามีการบล็อก ควบคุมจนทำให้เชื้อโควิดสายพันธุ์ B.1.1.7 เหลือน้อย ก็ทำให้โอกาสที่ไวรัสจะมากลายพันธุ์ในบ้านเรามันจะเหลือน้อย เพราะเชื้อมันไม่แบ่งตัวเพราะเจอเชื้อน้อย เจอในคนน้อย เพราะฉะนั้น B.1.1.7 ในเมืองไทยถ้าจะเข้ามาได้ ต้องเป็นคนอังกฤษนำเข้ามา

 

            อย่างไรก็ตาม เรื่องการกลายพันธุ์ของไวรัสจะไม่มีผลต่อการผลิตวัคซีนที่กำลังทำอยู่ขณะนี้ เพราะว่าเป็นการกลายพันธุ์ของตัวไวรัสในลักษณะต่างๆ เช่น ทำให้ตัวเองใหญ่ขึ้น  แต่จุดในตัวไวรัสที่เข้าไปในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตยังอยู่ที่เดิม ทำให้ไม่ว่าไวรัสโควิดจะกลายพันธุ์ไปอย่างไร แต่ยาวัคซีนต้านไวรัสโควิดที่กำลังผลิตและมีอยู่ขณะนี้ยังมีใช้ได้อยู่ ซึ่งบริษัทที่ผลิตวัคซีนพวกนี้สามารถทดสอบได้ไม่ยาก เพราะเมื่อใดที่พบว่ามีการกลายพันธุ์ ก็นำไปเลี้ยงและนำภูมิคุ้มกันที่ได้จากคนที่อาสาสมัครเข้ามาทำงานวิจัยมาทดสอบ ว่าวัคซีนที่ผลิตยังสามารถบล็อกเชื้อไวรัสโควิดได้หรือไม่ หากผลการทดสอบพบว่าบล็อกไม่ได้ บริษัทก็ต้องพัฒนาวัคซีนใหม่

            โดยในอดีตที่ผ่านมา หากต้องทำวัคซีนตัวใหม่จะใช้เวลานานมาก แต่ปัจจุบันที่ใช้เทคโนโลยีของ Messenger RNA  ทำให้สามารถพัฒนาวัคซีนตัวใหม่ได้เร็วมากขึ้น แล้วนำไปทดลองกับสัตว์ทดลองจนได้สูตรใหม่ไปทำวัคซีน

            ผมก็มองว่า ถ้ามีไวรัสตัวใหม่ขึ้นมาโดยสามารถแพร่กระจายได้เร็ว ก็จะทำให้ความเร่งรีบในการผลิตวัคซีนจะยิ่งเร็วมากขึ้น เพราะอย่างนับแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดโควิดต้นปีที่แล้ว ก็พบว่าปีนี้ก็เริ่มจะมีการผลิตวัคซีนมาใช้กับมนุษย์แล้ว  ซึ่งในอดีตไม่เป็นแบบนี้ บางทีต้องรอกัน 8-9 ปี แต่หากถามว่าโอกาสจะเกิดไวรัสตัวใหม่ มีความเป็นไปได้หรือไม่ ผมก็มองว่ายากที่จะมี เพราะถ้าทั่วโลกคุมกันจริง ไม่ใช่ปล่อยแบบบางประเทศเช่นอังกฤษ ที่เป็นแบบ herd immunity คนไหนจะติดก็ติดไป ซึ่งหากเราปล่อยแบบนั้นเราอาจจะได้สายพันธุ์ที่ 3 สายพันธุ์ที่ 4 ที่จะยุ่งมาก แต่คิดว่าโอกาสที่จะเกิดแบบนั้นได้น่าจะน้อย ถ้าเราคุมอยู่ ไม่ปล่อยให้มีการติดเชื้อกันทั่วโลก

            สำหรับเรื่องของวัคซีนที่จะนำมาฉีดให้ประชาชน ก็เป็นวัคซีนที่หวังว่าจะมาคุม SARS-CoV-2 ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งทางการแพทย์ก็คือ

            1.หากใครฉีดวัคซีนเข้าไปแล้วหากจะเจ็บป่วย ก็จะเจ็บป่วยน้อย หวังว่าจะไม่เสียชีวิต เพราะภูมิคุ้มกันจะเกิดขึ้นเร็ว จะบล็อกเชื้อไว้ได้หมด

            2.เมื่อคนที่ติดเชื้อ แล้วเชื้อเข้าไปอยู่ตามจุดต่างๆ ของร่างกาย เช่น ลำคอ ก็หวังว่าเมื่อฉีดวัคซีนแล้ว จะทำให้เกิดการบล็อกเชื้อทันที แล้วกันการแพร่กระจายไปสู่คนอื่นได้ ซึ่งตรงนี้เรายังไม่สามารถเช็กได้ว่าวัคซีนกันตรงนี้ได้หรือไม่

            3.เมื่อฉีดวัคซีนให้คนมีภูมิคุ้มกันในร่างกายแล้ว ก็จะเป็นการลดเชื้อที่จะเกิดกับคนให้น้อยเข้าไว้ จนทำให้โอกาสที่ไวรัสจะกลายพันธุ์เกิดเป็นพันธุ์ใหม่ก็จะน้อยลง เท่ากับเป็นการระงับไม่ให้เกิดเชื้อสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น หากเราคุมกันได้

 

เชื่อช่วง 14 ก.พ.อาจได้ประกาศชัยชนะ

            -หากสุดท้ายสถานการณ์โควิดไม่ดีขึ้น ความพร้อมของระบบสาธารณสุขประเทศไทยจะรองรับได้แค่ไหน?

            ถ้าสุดท้ายถึงช่วงสิ้นเดือนมกราคมนี้ แล้วสมมุติว่าเกิดตัวเลขการติดเชื้อในประเทศขึ้นมาระดับพันคนต่อวัน ก็ถือว่าโชคไม่ดี ก็อาจต้องใช้มาตรการการควบคุมที่แรงมากขึ้น แต่ในส่วนของการดูแลคนติดเชื้อ สุดท้ายถ้าเป็นแบบนั้นก็ต้องใช้โรงพยาบาลสนาม โดยนำคนติดเชื้อที่อาการไม่รุนแรงมากเท่าไหร่ ส่วนพวกรุนแรงมากคือมีอาการปอดอักเสบ ต้องใช้ออกซิเจนช่วย ก็ต้องนำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลทั่วไป แต่หนักมากก็เข้าไอซียู แต่ระหว่างทางตรงนี้ก็หวังว่าน่าจะมียา  ที่ตอนนี้ก็มียาที่จะระงับไม่ให้อาการมันรุนแรงอยู่ อย่าง  remdesivir แต่ก็ไม่ใช่ยาประเภทให้ไปแล้วคนไข้มีอาการดีขึ้นทันที ก็ต้องใช้เวลา รวมถึงก็มีน้ำเหลืองของคนที่เคยเป็นโควิดแล้วรักษาหาย ที่พร้อมอยู่แล้วที่จะใช้ ซึ่งมีอยู่ที่สภากาชาด

            ดังนั้น สำหรับยาที่จะบล็อกไวรัสจึงคิดว่าไทยเราก็มีอยู่พอสมควร แต่หากมีการพัฒนายาที่ดีมากกว่าขึ้นมาได้ก็จะดี  แต่หากบล็อกไม่ได้จริงๆ ก็ต้องใช้ รพ.สนามมาช่วย ซึ่งระบบสาธารณสุขการแพทย์ของเราตอนนี้ผมว่า หมื่นคนก็ยังรับได้หากมีการใช้ รพ.สนามเข้ามารองรับ โดยในหมื่นคนก็อาจมี 5 เปอร์เซ็นต์ คือประมาณ 500 คนที่อาจเข้าไอซียู ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ที่หากเป็นแบบนี้ก็เชื่อว่าจำนวนเตียงและการรองรับผู้ป่วยเรายังรับได้อยู่ เพราะดูแล้วตอนนี้ยังไม่ถึงร้อยละ 20 ของศักยภาพที่เราจะทำได้-เพิ่มได้ แต่ก็อย่างที่บอกไว้ ผมว่าตอนนี้มันเริ่มจะเลยจุดพีก แล้วต่อไปตัวเลขการติดเชื้อจะเริ่มลดลง ในช่วงหลัง 15-30 ม.ค.ตัวเลขก็น่าจะลงแล้ว

 

      -สรุปว่าสถานการณ์โควิดรอบนี้ ตอนท้ายหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ?

            สุดท้ายภาพรวมถึงตอนนี้ ผมว่ากำลังเข้าสู่ช่วงที่เริ่มอยู่ตัวแล้ว กำลังอยู่ในช่วงขาลง เพราะอย่างแหล่งมั่วสุมต่างๆ  ตอนนี้ถูกบล็อกหมดแล้ว ก็คิดว่า 14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์จะเป็นวันประกาศชัยชนะของเรา 14 กุมภาพันธ์ วันแห่งความรักของประเทศนี้ เราจะประกาศว่าคนไทยชนะโควิดอีกแล้ว จะเป็นรอบใหม่หรือระลอกสองก็แล้วแต่ และเราจะไม่กลับไปรอบที่สามอีกแล้ว โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำให้ทุกอย่างอยู่ในระบบการควบคุมโควิดให้ได้ เช่น การเข้ามาในประเทศไทยก็ต้องทำให้ถูกต้องตามระบบ ต้องมีการกักตัว  14 วัน ถ้าเราทำแบบนี้ได้ โดยไม่มีแรงงานที่เข้ามาโดยผิดกฎหมาย ไม่มีการกักตัวไว้ก่อน เราก็จะกลับไปเป็นเหมือนช่วงที่เราไม่พบคนติดเชื้อในประเทศเลยหลายเดือนติดต่อกัน

            สำหรับสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ดูแล้วอาจถึงสิ้นปีนี้ก็อาจจะยังไม่จบ เพราะประเทศอื่นอาจยังมีอยู่แล้วเขาไม่ควบคุมแบบเข้มข้นเหมือนกับเรา ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น เรามียาต่างๆ ใช้รักษาป้องกันหรือไม่ หรือการฉีดวัคซีน จะฉีดให้ประชาชนได้มากขนาดไหน แต่ผมดูแล้วน่าจะฉีดได้เยอะมาก ถ้าเรามีพวกนี้หมดก็จะคุมได้ดีมาก  ทุกอย่างก็จะจบได้เร็วขึ้น ไม่อย่างนั้นก็อาจจะต้องสู้กับโควิดไปจนถึงช่วงสิ้นปี หรือจนถึงเมื่อเราเห็นว่าคุมได้แล้ว.

 

                              โดย วรพล กิตติรัตวรางกูร

 

....................................

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"