โควิดกระหนาบ ซักฟอกกระหน่ำ ภาวะเอาตัวรอด รัฐบาลประยุทธ์


เพิ่มเพื่อน    

 

            อุตส่าห์ควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี ยันสถานการณ์มาได้เกือบปี จนได้รับคำชมจาก นานาชาติ ยกให้การบริหารจัดการ บุคลากรทางการแพทย์  บวกกับวินัยความร่วมมือของคนในชาติยอดเยี่ยมจึง "เอาอยู่" แต่พอเกิดการระบาดรอบใหม่ปลายปี 2563 ตัวเลขผู้ติดเชื้อทั้งจากคนในประเทศ แรงงานข้ามชาติ มีผู้เสียชีวิต ผู้ติดเชื้อพุ่งสูงน่าตกใจในแต่ละวัน มีการแบ่งกลุ่มจังหวัดเพื่อควบคุมดูแล ทั้งเฝ้าระวังสูงสุด และลดหลั่นลงไปเป็นกลุ่มโซนสี  คนที่ติดเชื้อโควิดมีทั้งรู้ตัว ไม่รู้ตัว พวกรู้ตัวก็เข้าสู่ระบบรักษา ได้รับการดูแลจากภาครัฐ เอกชนอย่างเข้มงวด

            ที่น่ากลัวคือ กลุ่มเสี่ยง ผู้ที่ยังไม่รู้ตัวหรือยังไม่แสดงอาการ ทุกวันนี้ยังใช้ชีวิตปะปนร่วมกับผู้คนในสังคม คนติดเชื้อว่าเครียดแล้ว คนไม่ติดเชื้อก็อยู่ในภาวะเครียดหนัก ทั้งกลัวโรคมากระทบถึงตัวเอง ครอบครัว คนใกล้ชิด รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่ผู้คนไม่กล้าไปไหนมาไหน ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย ลงทุนขยับขยายในกิจการใหม่ๆ เป็นโดมิโนเอฟเฟกต์  ส่งผลจากฐานราก ประชาชน ภาครัฐ ถึงฐานยอด ประเทศชาติ       

            ต้นเหตุแห่งการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 รอบแรก ที่สนามมวยถูกชี้ให้เป็นแพะ จัดแข่งขันชกมวยทั้งที่เริ่มมีการระบาดหนัก หน่วยงานมีหนังสือเตือน ขอความร่วมมือไม่ให้จัด แต่สุดท้ายบิ๊กผู้มีอำนาจไม่สนใจ เดินหน้าต่อ คงไม่ต้องบอกแวดวง ม้า มวย บอล ธุรกิจสีเทา ใครบ้างที่มีเอี่ยว  หนึ่งในนั้นหนีไม่พ้นกลุ่มคนมีสี และรอบล่าสุดนี้มาจากผู้ที่เดินทางไปทำงานที่ท่าขี้เหล็ก เมียนมา ลักลอบเข้าประเทศไทย แพร่กระจายไปในวงกว้าง แรงงานต่างชาติที่ทะลักหลุดรอดเข้ามายังมหาชัย จ.สมุทรสาคร ที่ยอดคนมาทำงานจริง สูงลิบ หากเทียบกับแรงงานที่เข้ามาแล้วมีการลงทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย บ่อนการพนันที่มีการลักลอบเปิด ทั้งระยอง ชลบุรี กรุงเทพฯ เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว

ต้นสายปลายเหตุ พวกลักลอบข้ามชายแดนจากประเทศเพื่อนบ้านมายังไทย จะข้ามมาได้อย่างไรหากไม่มีคนพามา  และใครจะรู้เส้นทางดีไปกว่าเจ้าหน้าที่ที่ประพฤติมิชอบ ตรงไหนเดินได้ ตรงไหนต้องต่อรถ ตรงไหนต้องพักรอคนมารับ  ล้วนมีค่าดำเนินการทั้งสิ้น            

            แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทั้งถูกกฎหมาย ไม่ถูกกฎหมาย  มีทั้งผ่านการคัดกรอง ขึ้นทะเบียนอย่างถูกกฎหมาย กับ พวกเห็นแก่ได้ ร่วมมือกันเป็นขบวนการ จัดสรรปันส่วนอย่างลงตัว มีให้เห็นมาทุกยุคทุกสมัย แก้ปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไม่ได้เสียที

            บ่อนการพนันยิ่งไม่ต้องพูดถึง เป็นไปได้อย่างไรเปิดกันมากหลายจุดราวกับร้านสะดวกซื้อ ทุกคนรู้หมดบ่อนอยู่ตรงไหน แม้แต่ระบบค้นหาทางอินเทอร์เน็ตยังปักหมุดชัด ตรงนี้เป็นบ่อน ทุกคนรู้ มีแต่ตำรวจ (ทำเป็น) ไม่รู้ ปิดปาก ไม่มี ไม่ใช่บ่อน แก้ตัวบอกเป็นห้องจัดเลี้ยงบ้าง เป็นโกดังบ้าง วิธีการตรวจสอบที่คนในแวดวงตำรวจยังทนไม่ไหว แนะเอาไว้ว่า ตรงไหนเป็นห้องจัดเลี้ยงหรือบ่อน ไปไล่ดูกล้องวงจรปิด ไปดูสถานที่ก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ควรเอาบิลค่าไฟมาตรวจสอบดู  ห้องจัดเลี้ยงต่อเดือนมีกี่งาน เปิดใช้กี่ชั่วโมง เฉลี่ยหาค่าไฟออกมา สมเหตุสมผลหรือไม่ แต่ถ้าไม่ใช่ เปิดกันทั้งวันทั้งคืน  ยอดค่าไฟจะเป็นใบเสร็จมัดตัวชั้นดี ชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติ ของบ่อน โกดัง สถานที่จัดเลี้ยง

งานนี้ทุกคนพร้อมใจ "สามัคคีกันเงียบ" พวกนายตำรวจชั้นสูงถูกโยกย้ายพอเป็นพิธี ทุกคนต่างรู้ดีถึงสายสนกลใน อดีตบิ๊กมีสีคนหนึ่งยังหลุดปากกับคนกันเอง "ขอให้เข้าใจ  ต้องการ cash flow มาหมุน" แม้ระยะหลัง บิ๊กปั๊ด-พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จะส่งสัญญาณกวาดล้างอย่างหนัก แต่ก็ดูเหมือนจะช้าไม่ทันการณ์เสียแล้ว

การลักลอบนำคนเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย การเปิดบ่อนล้วนเป็นธุรกิจสีเทา การจะเปิดได้ย่อมต้องได้รับไฟเขียว  มีสิ่งแลกเปลี่ยน แต่จะมาจากไหน มาจากใคร และจัดสรรปันส่วนกันอย่างไรไม่อาจทราบได้ และยิ่งเรื่องบ่อนพนันที่ระบาดกันมานาน ตั้งแต่ช่วงโควิดสร่างซามาจนถึงโควิดระบาดอีกรอบ บวกกับการพูดกันในวงว่าต้องการ cash  flow เป็นการสื่อให้เห็นถึงอะไร เหตุใดบุคคลบางกลุ่มต้องการ กระแสเงินสดเอาไว้หมุนเวียนจำนวนมาก

พอจะสะท้อนอะไรได้บ้าง มีการนำไปเชื่อมโยงการเก็บกระสุนเอาไว้เพื่อวิ่งเต้น การจัดเก็บเพื่อนำมาเลี้ยงดูปูเสื่อ  การจัดสรรปันส่วนแบ่งกันเป็นทอดๆ ท่ามกลางกระแสเรียกร้องให้มีการปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ที่มีแนวคิดนำเสนอออกมาอย่างมากมายที่เป็นประโยชน์

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยให้สัญญาประชาคมตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งจะปฏิรูปประเทศ จะปฏิรูปตำรวจ แต่ด้วยระยะเวลานับแต่ยึดอำนาจ ก้าวเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีถึง 2 สมัย แนวทางปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม ไม่เคยถูกนำมาใช้เพื่อไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ดีเลย

โควิด-19 เป็นปัญหาหนักอกรัฐบาล ผู้คน ชนชั้นรากหญ้า ผู้ใช้แรงงาน กลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก ต่างตกอยู่ในภาวะ ตายทั้งเป็น เศรษฐกิจที่ไม่ดีทรุดหนักอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอโควิดอีกจึงกระหน่ำซ้ำเติมให้หนักมากขึ้น การบริหารงานของภาครัฐถูกตั้งคำถามถึงการบริหารจัดการ ทั้งที่มาตรฐานการแพทย์ ระบบสาธารณสุขไทยถูกจัดอยู่ในลำดับต้นๆ ของโลก          แต่จะมีประโยชน์อะไร หากต้นทางโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ยังเห็นแก่ได้ ลักลอบพาผู้คนจากประเทศที่มีการแพร่ระบาดอย่างมากเข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมาย ไม่ได้ผ่านการตรวจวัดคัดกรอง พอเริ่มคุมไม่อยู่ก็ต้องยอมปล่อยให้เข้ามาในช่องทางปกติ โดยไม่เอาผิดเพื่อคัดกรองตรวจหาเชื้อโควิด  กลายเป็นปมประเด็นคำถาม เจ้าหน้าที่สุ่มเสี่ยงต่อการ ละเว้นทำผิดอีกหรือไม่

            การยังปล่อยให้มีการเปิดบ่อนทั้งที่มีการแพร่ระบาดโควิด และไปๆ มาๆ กลุ่มนี้จะกลายเป็น Super Spreader ครั้นจะหันกลับมา Lock Down เหมือนรอบที่แล้วอย่างเต็มรูปแบบก็ทำไม่ได้ ภาคเอกชน การค้า การขนส่ง การลงทุน คงจะยิ่งแย่หนักลงไปอีก ทำได้แค่ปิด ควบคุมกันเป็นจุด เฉพาะพื้นที่เท่านั้น ไม่ให้กระทบภาพรวมทั้งหมด

            การประชาสัมพันธ์ การให้ข่าวของส่วนกลางกับระดับปฏิบัติงานที่ขัดกัน ประเด็น กทม.กำหนดมาตรการนั่งรับประทานอาหารที่ร้านได้ตั้งแต่ 06.00-19.00 น. แต่ ศบค.จากส่วนกลางหักดิบให้นั่งได้ตั้งแต่ 06.00-21.00 น. หรือกรณี สาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ออกมาบอกจะมีการล็อกดาวน์ 5 จังหวัดที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนัก ได้แก่ สมุทรสาคร, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี และตราด แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่

            นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.ออกมาบอก ผู้ติดเชื้อหากไม่ได้โหลดแอปพลิเคชัน "หมอชนะ" จะมีความผิดตามกฎหมาย ต่อมา อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข กลับบอกไม่โหลดไม่มีความผิด เรื่องง่ายๆ แค่คุยกันให้ตกผลึกแล้วค่อยสื่อสารออกมา รัฐบาลยังทำไม่ได้ การให้ข่าวให้ข้อมูลไม่ตรงกัน ทั้งที่ล้วนแต่เป็นผู้ใหญ่ทำงานใกล้ชิดด้วยกันมาตลอด สร้างความสับสนให้ประชาชนได้ทุกเรื่อง

            ภาวะการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้รัฐนาวาประยุทธ์ตกที่นั่งลำบาก ด้านการเมืองพรรคร่วมฝ่ายค้าน เตรียมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เดิมจะมีการเข้าชื่อเสนอต่อประธานสภาช่วงปลายเดือนมกราคม และตามข้อกำหนดการตรวจสอบญัตติความเรียบร้อย 15 วันก็น่าจะมีการบรรจุญัตติ ทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลน่าจะเกิดในช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนกุมภาพันธ์      

            แต่พอเกิดไวรัสระบาดอาจจะต้องมีการปรับแผน ที่แม้แต่รัฐสภายังเลื่อนการประชุมออกไป 2 สัปดาห์ ย่อมส่งผลต่อแผนงานของฝ่ายค้านที่ต้องปรับแผน การวางกลยุทธ์ต้องปรับไปตามสถานการณ์ ในส่วนของวันเวลาอภิปรายอาจจะได้เห็นการขอขยายเวลาการเปิดประชุมสภาสมัยสามัญออกไปอีก จากเดิมที่จะปิดสมัยประชุม 28 ก.พ.

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ยังคงเป็นเป้าหลักที่จะถูกชำแหละ ทั้งการปล่อยปละละเลยให้ไวรัสโควิดแพร่ระบาด เรื่องแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย บ่อนการพนัน ประเด็นการใช้อำนาจหน้าที่ต่อผู้ชุมนุม ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย, จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.พาณิชย์, สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ต่างอยู่ในลิสต์ที่อาจจะถูกยื่นอภิปราย พร้อมกับประเด็นที่เชื่อมโยงให้เห็นถึงการปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง บางรายอยู่ในอาการหนัก อาจได้เห็นใบเสร็จมัดจากการบริหารงานอันไม่ชอบมาพากลอีกด้วย

            ศึกนอกสภาไวรัสโควิด-19 ยังเป็นปัญหา รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้โดยเร็ว ขีดวงให้ยอดผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิตอยู่ในวงที่ควบคุมได้ พร้อมกับการเร่งสร้างความเชื่อมั่น กระตุ้นเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดหนักกว่าที่เป็นอยู่  ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ปล่อยปละละเลยขบวนการ พวกที่มีเอี่ยวปล่อยให้เปิดบ่อน กวาดล้างขบวนการลักลอบพาคนข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย

            ส่วนศึกในสภา เตรียมวางแผนรับมืออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่งานนี้หากใครในรัฐบาลถูกประจานด้วย "ใบเสร็จทุจริต" คงจะดูไม่จืดสำหรับรัฐบาลประยุทธ์ ไหนจะเชื้อร้ายโควิดต้องกำจัด เชื้อชั่วจากการคอร์รัปชัน ประพฤติมิชอบ ก็ห้ามปล่อยไว้เด็ดขาดเช่นกัน.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"