สามสหายจากนราธิวาสบนถนนลอยฟ้า สันติสุข-บ่อเกลือ
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1081 เส้นทางบ่อเกลือ-สันติสุข มีป้ายบอกความชัน 8% อยู่หลายช่วง ทั้งชันขึ้นและลาดลง หมายความว่าในระยะ 100 เมตร ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลต่างกัน 8 เมตร นี่เป็นความชันที่สูงเอาการทีเดียว
ยังไม่นับความคดโค้งน่าหวาดเสียว บางครั้งรถพุ่งขึ้นเนินไปจนถึงจุดสูงสุดแล้วก็ต้องเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาต่ออย่างกะทันหัน และหากว่าท่านกลับออกจากบ่อเกลือในตอนบ่ายแก่ๆ ยังมีสิ่งกวนใจเพิ่มมาอีกอย่าง ดวงอาทิตย์คอยแต่จะส่องแสงเข้าทิ่มตาอยู่นั่นแหละ
คลายจากความโค้งชันชุดหนึ่งมาได้ เพื่อนของผมแวะพักเบรกรถยนต์ที่จุดชมวิวบนลานดินกว้าง เวลานี้มีมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ 3 คัน ประกอบไปด้วย Vespa Sprint, Vespa Cosa และ Honda Chaly ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นทะเบียน “นราธิวาส”
มอเตอร์ไซค์แต่ละคันบรรทุกข้าวของพะรุงพะรัง คนหนุ่มสาวยืนพูดคุยกันอยู่อีกมุมหนึ่ง 4 หนุ่ม และ 1 สาว เท่ากับว่า “เวสป้า” 2 คัน ซ้อนคันละ 2 คน ส่วน “ชาลี” นั้นมาคนเดียวแน่นอน สำเนียงเสียงพูดของน้องๆ บ่งบอกว่าเป็นมุสลิม คะเนอายุอยู่ในราว 20 ต้นๆ ผมเข้าไปทักทายพร้อมคำถาม น้องๆ ก็อธิบายไม่ปิดบัง
สามสหายจากนราธิวาสบนถนนลอยฟ้า สันติสุข-บ่อเกลือ
ทั้ง 5 ชีวิตออกเดินทางจากจังหวัดนราธิวาสเมื่อ 17 วันก่อน ถึงกรุงเทพฯ แล้วจึงค่อยตีโอบไปทางภาคอีสานตามบรรดาจังหวัดชายแดน เมื่อวานอยู่ที่ภูกระดึง จังหวัดเลย วันนี้กะว่าจะไปนอนที่ภูพยัคฆ์ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ พรุ่งนี้ก็วิ่งเส้น 1081 ต่อขึ้นไปยังด่านห้วยโก๋นแล้วค่อยไปเชื่อมกับทางหลวงหมายเลข 101 หรือสายเอเชีย AH13 วางแผนเลาะไปตามขอบของแผนที่ประเทศไทย ผ่านพะเยา เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก ยืนยันว่ามีเวลาเหลือเฟือ รวมทั้งทริปนี้ประมาณ 2 เดือนกว่าจะกลับนราธิวาส
“ในห่อสัมภาระน่าจะมีเต็นท์” ผมสงสัย
“มีทุกอย่างล่ะครับ ข้าวสาร อาหารแห้งก็มี” คนหนึ่งตอบ แล้วเสริมว่า “แต่ส่วนมากพวกเราเช่าที่พัก เพิ่งจะได้กางเต็นท์นอนไป 4 คืนเท่านั้น”
พวกเขากล่าวลา สวมหมวกกันน็อก แจ็กเกต และถุงมือ สตาร์ทจิ๋วคู่ใจออกไปทีละคัน ชาลีออกไปก่อนเป็นคันแรก เครื่องเดิมคง 90 หรือ 100 ซีซี แต่น่าจะยกเครื่องใหม่เป็น 125 ซีซี ส่วน “สปรินต์” และ “โคซา” นั้น 150 ซีซี ปกติการขึ้นเขาไม่ใช่ปัญหา แต่ในกรณีนี้มีคนซ้อนท้ายและสัมภาระอีกเพียบ
ผมและเพื่อนออกเดินทางต่อจนไปถึงถนนทางโค้งเป็นรูปเลข 3 มีจุดจอดรถอยู่เมื่อเลยเลข 3 ไปหน่อย นักท่องเที่ยวลงไปถ่ายรูปกันทุกราย เมื่อมองย้อนไปทางทิศเหนือถนนเป็นรูปเลข 3 เหมือนสร้างไว้อย่างจงใจ หลายคนอาศัยช่วงที่ไม่มีรถออกไปยืนกลางถนน ทั้งเซลฟี ให้เพื่อนถ่ายให้ และใช้ขาตั้งกล้องตั้งเวลาชัตเตอร์ จุดนี้จึงเป็นทั้งจุดแวะพักรถ ให้คนคลายเมื่อย อีกทั้งได้ความบันเทิงเล็กๆ โดยเฉพาะเมื่อเห็นรถวิ่งมาไกลๆ แต่ชัตเตอร์ยังไม่ทำงานเสียที
ถนนรูปเลข “3” บนทางหลวงหมายเลข 1081 สันติสุข-บ่อเกลือ
เราวิ่งเข้าสู่เขตอำเภอสันติสุข ตัดเข้าถนนหมายเลข 1169 เข้าเขตอำเภอภูเพียง และถึงตัวเมืองน่านเวลาประมาณ 5 โมงเย็น ผมขอให้เพื่อนส่งที่หน้าวัดภูมินทร์ ส่วนตัวเขาไปร้านล้างรถชื่อ “อ๊อดมันวาว” เพื่อนของเขา ห่างออกไป 2 กิโลกว่าๆ
พระอุโบสถวัดภูมินทร์เป็นทั้งโบสถ์และวิหารในหลังเดียวกัน เชื่อว่าเป็นพระอุโบสถจตุรมุขหลังแรกในประเทศไทย มีประตูทางเข้าทั้ง 4 ทิศ แต่ตอนนี้เปิดแค่ทิศเหนือและทิศใต้ ผมเข้าไปกราบพระพุทธรูปปางมารวิชัย พระประธานในพระอุโบสถ มีอยู่ด้วยกัน 4 องค์ ประดิษฐานไหล่ชนกันทุกด้าน ทำให้หันพระพักตร์ออกไปทั้ง 4 ทิศ เป็นไปได้ว่ามาจากพระนาม “เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์” กษัตริย์น่านผู้สร้างวัด “พรหมมินทร์” ขึ้นเมื่อ พ.ศ.2139 (ต่อมาเรียกเพี้ยนเป็น “วัดภูมินทร์”) จึงออกมาในลักษณะคล้ายเลียนแบบพระพรหมสี่พักตร์ บ้างก็สันนิษฐานว่ามาจากหลักธรรม “พรหมวิหาร 4” รวมถึงอาจมาจากพระพุทธเจ้าองค์ต่างๆ ในอดีต 3 องค์ รวมกับองค์ปัจจุบัน คือพระโคตมพุทธเจ้า
ในการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ.2410 ได้มีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังขึ้น ยังผลให้อีกกว่าร้อยปีต่อมาชื่อเสียงของวัดภูมินทร์ขจรไกลไปทั่วประเทศด้วยภาพ “ปู่ม่านย่าม่าน” หรือภาพชายหนุ่มกระซิบรักหญิงสาวที่หลายคนนำไปเรียกว่าเป็นภาพ “กระซิบรักบันลือโลก” หนึ่งในภาพวิถีชีวิตที่เขียนขึ้นโดยจิตรกรชาวน่าน นอกจากนี้ยังมีภาพชาวต่างชาติในลำเรือไว้หนวดเคราดกหนา เป็นหลักฐานที่บ่งชี้ได้ว่าชาวต่างประเทศได้เข้ามายังเมืองน่านแล้วในเวลานั้น
ผมเดินลงจากบันไดทางทิศใต้ออกจากอุโบสถ สตรีคนหนึ่งกำลังถ่ายรูปเซลฟีตัวเองกับโบสถ์อยู่แต่ดูไม่ค่อยถนัด เธอขอให้ผมช่วยถ่ายให้ ผมถ่ายแนวนอนเป็นส่วนใหญ่เพราะจะได้ภาพโบสถ์ทั้งหลัง เธอนำมือถือไปดูก็บอกว่าพอใจ แต่ขอเพิ่มภาพแนวตั้ง ว่าแล้วเธอก็ไปยืนข้างๆ พุ่มต้นข่อย หันหลังเอียงข้างให้กับโบสถ์ ผมกดไปอีกหลายภาพ คืนมือถือให้เธอแล้วก็ถามไถ่โปรแกรมท่องเที่ยวกันนิดหน่อย ทราบว่าเธอมาจากกรุงเทพฯ เที่ยวคนเดียว เมื่อคืนนอนค้างแรมบนดอยภูคา แต่ไม่กล้าถามว่าคืนนี้จะไปแอ่วไหน เราต่างอวยพรให้อีกฝ่ายเดินทางปลอดภัยและมีโชคก่อนแยกไปคนละทาง ผมเดินเข้าวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหารได้ครู่เดียวฟ้าก็มืดลง จึงโทรศัพท์ให้เพื่อนมารับ
เรากลับไปที่ร้านอ๊อดมันวาว มีข้าวปลาอาหารและเครื่องดื่มเตรียมพร้อมอยู่แล้ว นอกจากอ๊อดมันวาวและภรรยาก็ยังมีพรรคพวกของเขาอีกสองสามคน เราพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้สักพักก็มีรุ่นพี่ของอ๊อดมันวาวขี่มอเตอร์ไซค์นำหน้าบิ๊กไบค์คันหนึ่งเข้ามา ผมลืมสังเกตยี่ห้อของบิ๊กไบค์ที่เวลานี้ยางล้อหน้าแบน เจ้าของคือฝรั่งหนุ่ม เขาเข้าไปขอความช่วยเหลือจากรุ่นพี่ของอ๊อดมันวาวที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่ง บอกว่าเหยียบตะปูมาจากที่ไหนสักแห่ง
อุโบสถและวิหารวัดภูมินทร์ อ.เมือง จ.น่าน
ฝรั่งหนุ่มเป็นชาวอังกฤษ เกิดเมืองน็อตติงแฮม อายุ 28 ปี พอพูดไทยได้บ้างเพราะเป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่นครศรีธรรมราชได้ 7 ปีแล้ว เวลานี้ใช้ชื่อไทยว่า “สมหมาย” ขี่บิ๊กไบค์มาจากใต้ เมื่อคืนนอนที่ภูทับเบิก วางแผนจะอยู่น่าน 2 วันแล้วจะเดินทางต่อไปอุทยานแห่งชาติภูซาง จังหวัดพะเยา จากนั้นจะเข้าเชียงใหม่ไปเจอกับแฟนสาวซึ่งจะเดินทางมาจากหาดใหญ่
อ๊อดมันวาวสำรวจอาการบิ๊กไบค์แล้วบอกว่าตะปูไม่ได้แทงทะลุยางใน ยางแบนจากสาเหตุอื่น วันนี้เขาเติมลมยางให้พอวิ่งไปถึงที่พักก่อน พรุ่งนี้เช้าสมหมายค่อยมาใหม่แล้วจะแก้ปัญหาให้
เขาดูเป็นฝรั่งผู้ดี สำรวมกิริยาในช่วงแรกๆ แต่ผมสังเกตเห็นว่าตอนรุ่นพี่ของอ๊อดมันวาวขอตัวกลับไป เขาไม่ได้กล่าวขอบคุณหรือแสดงอาการให้ดูว่าซาบซึ้งแต่อย่างใด และคุยๆ ไปชักจะลามปาม พยายามเอามือไปเล่นศีรษะค่อนข้างเถิกของอ๊อดมันวาว แต่อ๊อดมันวาวไม่ถือ ก่อนขี่บิ๊กไบค์กลับออกไปก็ยังเอามือแตะลิ้นทำท่าจะเอาน้ำลายไปขัดเงาศีรษะของอ๊อดมันวาว เพื่อนของเราก็ยังไม่ว่าอะไร ผมรู้สึกสงสัยขึ้นมา หมอนี่อยู่รอดปลอดภัยที่เมืองคอนมาตั้ง 7 ปีได้อย่างไร
จากนั้นมีสตรีวัยสี่สิบกลางๆ ชื่อ “พร” เข้ามาร่วมสนทนา เธอเป็นเจ้าของโรงแรมเล็กๆ ชื่อ “พรบุรี” ตั้งอยู่บนถนนมหาพรหม ไม่ไกลจากวัดภูมินทร์ เรายังไม่ได้จองที่พักสำหรับคืนนี้จึงสบโอกาส พี่พรเปิดเผยว่าช่วงที่โควิด-19 กลับมาระบาดนี้ ลูกค้าไม่ได้ยกเลิก แต่โทรมาเลื่อนแบบไม่มีกำหนดเข้าพัก เธอก็ยินดีเพราะเข้าใจในสถานการณ์
จิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถวัดภูมินทร์
เราเปิดห้องพัก 2 ห้องเพราะไม่เช่นนั้นเสียงกรนของเพื่อนจะทำให้ผมนอนไม่หลับอีกคืนอย่างแน่นอน ค่าที่พักคืนละ 650 บาทเท่านั้น ได้ข่าวว่าก่อนนี้ราคาเพียง 500 บาท ต้องมีคนไปขอให้พี่พรขึ้นราคาเพราะว่าถูกเกินไป ผมเคยนอนเกสต์เฮาส์ใกล้ๆ กันยังราคาคืนละเกือบพันบาทแต่คุณภาพบริการและสภาพห้องพักสู้ของพรบุรีไม่ได้
สายๆ วันต่อมาผมออกไปกินมื้อเช้าและกาแฟที่อาราบิเทีย คาเฟ่ ใกล้วัดภูมินทร์เพียงคนเดียวเพราะเพื่อนของผมออกไปที่ร้านอ๊อดมันวาวเรียบร้อยแล้ว เมื่อคืนรถของเขาจอดทิ้งไว้ที่นั่น ผมเดินไปยังวัดมิ่งเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของเสาหลักเมืองน่าน เลยไปถึงวัดศรีพันต้น วัดที่มีวิหารปูนปั้นสีทองอร่าม งดงามพิเศษยิ่งที่บันไดหน้าวิหารด้วยรูปพญานาค 7 เศียรทั้ง 2 ฝั่งซ้ายขวา วัดแห่งนี้มีอายุประมาณ 600 ปี สร้างขึ้นโดยเจ้าเมืองน่าน “พญาพันต้น” ผมไม่ได้เข้าไปภายในวิหารเพราะใกล้จะถึงเวลาเช็กเอาต์ของโรงแรม แต่ทราบว่าภายในวิหารมีจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธประวัติและการกำเนิดเมืองน่าน
ก่อนออกจากวัดคนละประตูทางเข้า ผมเดินผ่านหอพระมหากัจจายฯ อายุเก่าแก่พอๆ กับวัด เดินเข้าไปหย่อนเงินทำบุญแล้วมุ่งหน้ากลับโรงแรม เช็กเอาต์และฝากกระเป๋าไว้ที่ล็อบบี้ หันไปเห็นเพื่อนของผมและอ๊อดมันวาวพร้อมภรรยานั่งกินก๋วยเตี๋ยวกันอยู่ในร้านฝั่งตรงข้ามโรงแรม เดินไปเห็นชามจำนวนมากบนโต๊ะล้วนหมดเกลี้ยง
เจดีย์ช้างค้ำ วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร อ.เมือง จ.น่าน
อ๊อดมันวาวขับรถพาเราไปที่ร้านของเขา เพื่อนของผมได้ Porsche Cayenne S คืนมาก็ขับพาผมไปที่วัดพระธาตุเขาน้อยตามคำขอ ข้อมูลของวัดจากเว็บไซต์สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬา จ.น่าน ระบุไว้ว่า “...องค์พระธาตุตั้งอยู่บนยอดดอยเขาน้อย ซึ่งอยู่ด้านตะวันตกของตัวเมืองน่าน สร้างในสมัยพระเจ้าปู่แข็ง เมื่อปี พ.ศ.2030 องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนทั้งองค์ เป็นศิลปะพม่าผสมล้านนา ภายในบรรจุพระเกศาธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยพระเจ้าสุริยพงศ์ผริตเดชฯ ระหว่างปี พ.ศ.2449-2454 โดยช่างชาวพม่า และวิหารสร้างในสมัยนี้เช่นกัน
“วัดพระธาตุเขาน้อยเป็นปูชนียสถานสำคัญและเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดน่าน … สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 240 เมตร หน้าวัดมีทางขึ้นเป็นบันไดนาค 303 ขั้น จากวัดพระธาตุเขาน้อยสามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบของตัวเมืองน่าน ปัจจุบันบริเวณลานชมทิวทัศน์ประดิษฐานพระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีเมืองน่าน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางประทานพรบนฐานดอกบัว สูง 9 เมตร บนยอดเกศาทำจากทองคำหนัก 27 บาท สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2542”
เสาหลักเหมือง และพระอุโบสถวัดมิ่งเมือง อ.เมือง จ.น่าน
เราใช้เวลาไม่นานนักก็ลงจากดอยเขาน้อย ผมขอให้เพื่อนขับรถไปส่งที่วัดพระธาตุแช่แห้ง ติดเขตอำเภอภูเพียง แล้วแยกย้ายกัน บ่ายนี้เขาจะไปงานแต่งงานที่จังหวัดสุโขทัย แล้วจึงค่อยกลับกรุงเทพฯ
สำหรับประวัติวัดพระธาตุแช่แห้งมีว่า ในสมัยพญาการเมือง เจ้าผู้ครองเมืองวรนคร (น่าน) เวลานั้นเมืองหลวงตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอปัวในปัจจุบัน ขณะเสวยราชสมบัติอยู่ไม่นานเท่าใด พญาลิไทแห่งกรุงสุโขทัยได้เชิญให้ไปช่วยสร้างวัดหลวงอภัยจนแล้วเสร็จ (ปัจจุบันคือวัดป่าม่วง) พญาลิไทจึงได้ถวายพระมหาชินธาตุเจ้า 7 องค์ และพระพิมพ์ทอง-พิมพ์เงินอย่างละ 20 องค์ เมื่อเสด็จกลับก็นำไปสำแดงแก่มหาเถรเจ้าธรรมบาลที่เมืองวรนคร พระมหาเถรเจ้าพิจารณาดูแล้วเห็นว่าควรนำไปไว้ที่เนินภูเพียงแช่แห้ง ระหว่างแม่น้ำเตี๋ยนและแม่น้ำลิง (ปัจจุบันคือแม่น้ำเกี๋ยนและแม่น้ำน่านตามลำดับ) 6 ปีต่อมา คือใน พ.ศ.1902 พญาการเมืองก็ได้มาสร้างเมืองขึ้นชื่อว่า “เวียงภูเพียง” อันเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของน่าน มีวัดพระธาตุแช่แห้งเป็นวัดหลวงประจำราชสำนัก
พระมหาธาตุแช่แห้งเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำบนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 22.5 เมตร สูง 55.5 เมตร องค์เจดีย์บุด้วยแผ่นทองเหลือง เวลานี้อยู่ในระหว่างการบูรณะซ่อมแซม งานประเพณีนมัสการพระธาตุมีขึ้นในระหว่างวันขึ้น 11 ถึง 15 ค่ำ เดือน 6 ของทางเหนือ (ตรงกับเดือน 4) ถือเป็นประเพณีสำคัญยิ่งของชาวน่าน
พระวิหารวัดศรีพันต้น อ.เมือง จ.น่าน
ภายในวัดยังมีโบราณสถานอื่นๆ อาทิ วิหารหลวง วิหารพระเจ้าทันใจ วิหารพุทธไสยาสน์ พระมหาเจดีย์ชเวดากองสีขาว (สำหรับคนเกิดมีมะเมียสักการะ) ผมเข้ากราบพระพุทธรูปปางมารวิชัย พระประธานในวิหารหลวงซึ่งสวยงามมาก นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปทั้งนั่งและยืนอีกจำนวนหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กลดหลั่นลงไป
พระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีเมืองน่าน วัดพระธาตุเขาน้อย อ.เมือง จ.น่าน
เที่ยวบินกลับกรุงเทพฯ เวลา 4 โมงครึ่ง ผมเดินออกจากพระวิหารไปด้านหน้าประตูทางเข้าวัด ใกล้ๆ กับมหาเจดีย์ชเวดากองสีขาว กดแอป Grab เรียกรถไปยังโรงแรมเพื่อรับกระเป๋า ได้โชเฟอร์หนุ่มผู้ขับแกร็บเป็นคนที่ 7 ของจังหวัดน่าน ซึ่ง Grab เพิ่งให้บริการในจังหวัดน่านได้ 2 เดือน จากโรงแรมไปสนามบินผมกดเรียกใหม่ ได้โชเฟอร์รุ่นใหญ่หน่อย เราไม่ค่อยได้คุยกันเพราะผมมัวแต่ดูเมืองน่านสองข้างทาง
เผื่อว่าจะไม่ได้กลับมาใหม่ในเร็วๆ นี้.
---------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |