ผิดหวังรัฐแก้โควิด! หัวหน้าก้าวไกล ชี้ 'บิ๊กตู่' ไม่เข้าใจหัวอกและไม่เคยไปนั่งอยู่ในหัวใจของประชาชนเลย


เพิ่มเพื่อน    

5 ม.ค.64 - นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นต่อสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยระบุว่า เป็นอีกครั้งที่สถานการณ์ในประเทศย่ำแย่ลง โดยที่ประชาชนทั้งประเทศต่างตระหนักรู้กันดีว่าไม่ได้เกิดจากการที่พวกเขาการ์ดตก แต่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐเองที่หละหลวมซึ่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความรับผิดชอบใดๆ รวมถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่กลับทำให้สถานการณ์แย่กว่าเดิมด้วยการกล่าวโทษทั้งแรงงานข้ามชาติและประชาชนว่าเป็นใจกลางของปัญหา ขณะที่นายกรัฐมนตรีไม่เคยมองเห็นความผิดพลาดของตนเองเลย
 
นายพิธา ยังกล่าวว่า ล่าสุดที่วิปรัฐบาลมีมติให้ปิดการประชุมรัฐสภาเป็นเวลาอย่างน้อยสองสัปดาห์นั้น พรรคก้าวไกลไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติจะหยุดชะงักไม่ได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์คับขันของประเทศชาติที่กำลังต้องการมาตรการที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพ เวลานี้ต้องบอกว่าประชาชนกำลังหมดความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อรัฐบาลอย่างถึงที่สุดแล้ว ฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนจึงจำเป็นมาก เพื่อจะต้องทำหน้าที่ตรวจสอบและทวงถามถึงความรับผิดชอบของฝ่ายบริหารต่อปัญหาที่พวกเขาละเลย ไม่ว่าต้นเหตุของความย่อหย่อนที่ต้องค้นหาความจริงว่าใครบ้างที่เกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบนำเข้าแรงงานต่างชาติ หรือใครบ้างที่เปิดทางให้มีบ่อนเกิดขึ้นทั่วภาคตะวันออกซึ่งเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อว่า ผู้นำประเทศและพี่น้องจากค่าย ‘บูรพาพยัคฆ์’ ผู้พิทักษ์ชายแดนตะวันออกของเรานั้นจะไม่สามารถเอาผิดเจ้าของบ่อนเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้แม้แต่คนเดียว นอกจากนี้ หากสภายังคงเปิดเพื่อให้ ส.ส.ได้ทำหน้าที่ การพิทักษ์รักษาผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนก็จะสามารถเดินหน้าขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างรวดเร็วขึ้น

“เข้าใจดีว่าหลายคนกำลังห่วงเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด พรรคก้าวไกลจึงมีข้อเสนอให้สภาเปิดการประชุมแบบ social distancing ด้วยการให้แต่ละพรรคส่งตัวแทน ส.ส.ส่วนหนึ่งมาประชุมให้จำนวนเพียงพอครบองค์ประชุมและให้นั่งห่างกัน จุดประสงค์เพื่อให้ที่ประชุมสามารถแก้ข้อบังคับให้ประชุมออนไลน์ได้ เพราะในขณะนี้มีกฎหมายสำคัญและเป็นความหวังอย่างยิ่งต่อพี่น้องประชาชนที่จ่อคิวรอให้สภาแก้อย่างเร่งด่วนเพื่อรับมือปัญหาโควิดให้ได้อย่างทันท่วงที เช่น การแก้ พ.ร.ก.soft loan เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ เพื่อพยุงธุรกิจหรือพยุงการจ้างงานได้ ซึ่งเรื่องนี้จริงๆควรจะได้รับการแก้ไขตั้งแต่ปีที่แล้ว นอกจากนี้ อาจมีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณา ร่างพ.ร.บ.โอนงบประมาณ หรือเกลี่ยก่อนกู้กันอีกครั้งเพื่อให้มีเงินนำมาใช้ในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจในสถานการณ์แบบนี้”

หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังแสดงความกังวลต่อแนวทางการรับมือสถานการณ์โควิดของรัฐบาลในเวลานี้ โดยระบุว่ามีปัญหา 3 ด้านสำคัญ คือ

1.รัฐบาลต้องการมีอำนาจแต่ไม่ต้องการรับผิดชอบใดๆ เช่น การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่ให้ผู้ว่าราชการมีอำนาจสั่งการซึ่งสามารถทำมากกว่าคำสั่ง ศบค.ก็ได้ ทำให้แต่ละจังหวัดมีรายละเอียดมาตรการไม่เหมือนกันจนประชาชนเกิดความสับสน หรือกระทั่งบางจังหวัดออกมาตรการเข้มจนไม่แตกต่างจากการปิดเมืองหรือล็อกดาวน์ ซึ่งการปิดเมืองของผู้ว่าฯด้วยการอ้างอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะแตกต่างจากการใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรค เพราะอย่างหลังต้องมีการชดเชยเยียวยาประชาชนอย่างเป็นระบบ ขณะที่การใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใดๆ สอดคล้องกับล่าสุดที่ โฆษก ศบค. พูดว่า ไม่ใช้คำว่าล็อกดาวน์เพราะถ้าบอกว่ามีการล็อกดาวน์แล้วจะต้องเยียวยา ยิ่งสะท้อนว่า รัฐบาลไม่ต้องการรับผิดชอบอะไรจากการใช้อำนาจของตนเอง แต่ยังคงต้องการใช้อำนาจอย่างเต็มที่เพื่อหวังค้ำยันความมั่นคงของตนเอง

2. รัฐบาลแก้ปัญหาแบบผิดทิศผิดทาง หลายอย่างที่ทำตอนนี้คือการเลี่ยงบาลี นั่นคือ การล็อกดาวน์ต้องบอกว่าเกิดขึ้นแล้วในภาคปฏิบัติ แม้ไม่เรียกว่าอย่างนั้นก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันภาครัฐกลับไม่มีมาตรการรองรับที่ตามมา เช่น มีมาตรการควบคุมและคำสั่งปิดสถานประกอบการหลายประเภท แต่กลับไม่ล็อกดาวน์หนี้สินหรือค่าเช่าของประชาชนและผู้ประกอบการ มีความล่าช้าในการแก้ไข พ.ร.ก.soft loan เพื่อให้ช่วย SMEs ที่กำลังหมดลมหายใจให้กลับมามีแรงเดินต่อ โชคร้ายอย่างยิ่งที่ความล่าช้านั้นทำให้เราต้องเห็นผู้ประกอบการหลายรายหมดลมหายใจไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ขณะที่บางรายเพิ่งหมดลมหายใจไปต่อหน้าต่อตาเมื่อสักครู่นี้ ที่ผ่านมา พ.ร.ก.นี้มุ่งช่วยเฉพาะธนาคารและลูกหนี้ชั้นดีของธนาคารเท่านั้น นอกจากนี้ การใช้จ่ายเงินกู้ 1 ล้านล้านบาทเพื่อแก้ไขปัญหาโควิด ยังมีความคืบหน้าน้อยมาก โดยเฉพาะแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท มีโครงการที่เบิกจ่ายไปแล้วเพียงสองหมื่นล้านบาทเท่านั้น แถมยังยังนำไปใช้จ่ายในโครงการลักษณะสะเปะสะปะ ไม่ได้ตรงจุดประสงค์อย่างแท้จริงและไร้ประสิทธิภาพ ในเมื่อรัฐบาลแสดงความกังวลว่าจะนำเงินที่ไหนมาเยียวยาประชาชน ก็ให้นำงบประมาณที่เหลืออยู่เกือบ 5 แสนล้านบาทมาช่วยเหลือเยียวยาประชาชนแทน

3. รัฐบาลแก้ปัญหาผิดซ้ำซาก ไม่มีการถอดบทเรียนจากอดีต จากต้นปีที่แล้วที่มีการล็อกดาวน์ทั้งประเทศ รัฐบาลควรจะต้องรู้ได้แล้วว่าจะมีใครได้รับผลกระทบบ้าง และควรต้องรู้ว่าจะจัดกระบวนการเยียวยาให้รวดเร็วและทั่วถึงได้อย่างไร ดังนั้น ในครั้งนี้เมื่อภาครัฐมีคำสั่งปิดสถานที่ต่างๆ รวมถึงการที่คำสั่งเหล่านั้นส่งผลต่อเนื่องให้หลายภาคธุรกิจต้องหยุดชะงัก ใครจะเดือดร้อนเป็นกลุ่มแรก หรือใครจะเป็นกลุ่มที่ตามมา รัฐบาลควรต้องมีมาตรการรองรับ และสื่อสารอย่างชัดเจนเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ไม่ใช่ปล่อยให้พวกเขาอยู่กับความกังวล สิ้นหวัง หรือกระทั่งกลายเป็นการตอบโต้กลับโดยการไม่ปฏิบัติตาม ซึ่งจะยิ่งกลายเป็นผลร้ายที่สะท้อนกลับมายังมาตรการสาธารณสุขเอง

“ล่าสุดที่ พล.อ.ประยุทธ์บอกให้ประชาชนอยู่บ้านเฉยๆ สองสัปดาห์ถ้าไม่อยากติดโควิด สะท้อนชัดว่าท่านไม่เข้าใจหัวอกและไม่เคยไปนั่งอยู่ในหัวใจของพวกเขาเลย ท่านจึงไม่รู้ว่ายังมีคนจำนวนมากที่หาเช้ากินค่ำ รับจ้าง เป็นพ่อค้าแม่ขาย การหยุดงานแค่เพียงวันเดียวก็หมายถึงไม่มีอะไรกินวันนั้น นั่นยังไม่ต้องพูดถึงอนาคตอีกสองสัปดาห์ว่าจะอยู่อย่างไร แต่ถึงตอนนี้รัฐบาลกลับยังไม่พูดถึงมาตรการช่วยเหลือเยียวยาใดๆ เลย รัฐบาลที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับความเดือดร้อนของประชาชน คือรัฐบาลที่ไม่สมควรบริหารประเทศนี้อีกต่อไปอีกแม้แต่เพียงนาทีเดียว” นายพิธา กล่าวทิ้งท้าย


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"