เริ่มเดินหน้าไปแล้วสำหรับ “โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2” ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2564 โดยผู้ได้สิทธิ์ในโครงการจำนวน 5 ล้านคน สามารถเริ่มใช้จ่ายโดยรับเงินสมทบจากรัฐบาลจำนวน 3,500 บาท รวมทั้งผู้ได้สิทธิ์ในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 1 อีก 10 ล้านคน ที่จะได้รับเงินสมทบจากรัฐบาลเพิ่มอีก 500 บาท รวมเป็น 3,500 บาทเช่นเดียวกัน
โดยหลักการของโครงการคนละครึ่ง คือ รัฐบาลจะร่วมจ่ายค่าสินค้าในอัตรา 50% แต่ไม่เกิน 150 บาทต่อวันต่อคน หรือคิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นไม่เกิน 3,500 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการ
ทั้งนี้ เป็นประเด็นที่น่าติดตามต่อว่า “โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2” นี้ จะปังเหมือนระยะแรกที่ผ่านมาหรือไม่ ส่วนหนึ่งเพราะการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 ที่รอบนี้ดูเหมือนจะรุนแรงมากกว่ารอบแรก ซึ่งอาจจะสร้างความวิตกกังวลให้กับประชาชนในการออกมาจับจ่ายใช้สอย โดยเรื่องนี้ “กุลยา ตันติเตมิท” ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า จากการติดตามของ สศค. เชื่อว่ายังไม่กระทบต่อการจับจ่ายของประชาชน แม้ว่าจะมียอดใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังชะลอลงไปบ้าง ก็มีสาเหตุมาจากผู้ที่ได้รับสิทธิ์รอบแรกใช้เงินครบ 3,000 บาทไปแล้วกว่า 3 ล้านคน
"กระทรวงการคลังยังเชื่อว่าประชาชนจะเร่งใช้จ่ายเงินในมาตรการคนละครึ่งได้ครบตามกำหนดของโครงการในวันที่ 31 มี.ค.2564 และหากมีการประกาศล็อกดาวน์ ทำให้ไม่สามารถออกไปใช้สิทธิ์มาตรการได้ ก็ขึ้นอยู่กับฝ่ายนโยบายว่าจะขยายเวลาออกไปหรือไม่"
ขณะที่ผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 1 ที่จะได้รับเงินสมทบเพิ่มเติมอีก 500 บาทนั้น ขณะนี้มีผู้กดยืนยันรับสิทธิ์ไปแล้ว 8.9 ล้านราย และส่วนผู้ได้รับสิทธิ์โครงการคนละครึ่งระยะที่ 2 ซึ่งมีผู้ได้รับสิทธิ์ 4.51 ล้านราย สะท้อนว่า ประชาชนยังมีความพร้อมที่จะใช้จ่ายเงินตามเป้าหมายของโครงการ ซึ่งที่ผ่านมามียอดการใช้จ่ายรวมแล้วกว่า 5 หมื่นล้านบาท
อีกประเด็นที่หลายฝ่ายจับตา คือ การเปิดลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งรอบเก็บตก ซึ่งกระทรวงการคลังเกลี่ยๆ ดูแล้ว พบว่ายังมีสิทธิ์เหลืออีกเกือบ 1 ล้านสิทธิ์นั้น มาจากผู้ลงทะเบียนไม่สำเร็จจากโครงการระยะที่ 2 จำนวน 4.9 แสนราย ผู้ไม่ได้เข้าร่วมโครงการระยะที่ 1 อีกกว่า 4.3 แสนราย และรอดูจำนวนของผู้ที่ลงทะเบียนในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 แต่ไม่ใช้สิทธิ์ภายใน 14 วัน ก่อนจะมาพิจารณาเพื่อมาเปิดลงทะเบียนรอบใหม่ ซึ่งกระทรวงการคลังจะมีการพิจารณากำหนดวันลงทะเบียนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังยังคาดหวังว่า มาตรการกระตุ้นการบริโภคของรัฐบาล ทั้งโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2, โครงการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม ที่คาดว่าจะมีเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นล้านบาทนั้น จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยประคองภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2564 ให้มีแรงขยายตัวเพิ่มได้อีก 0.2% แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่จะมีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจให้ต้องติดตาม อาทิ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และทิศทางการส่งออก ที่ปัจจุบันเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามสัญญาณเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีน เวียดนาม และสหรัฐ ที่ปรับตัวดีขึ้น
รวมทั้งยังต้องติดตามเกี่ยวกับภาคท่องเที่ยวและบริการของไทย ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 60% ของจีดีพี ว่าจะฟื้นตัวกลับมาได้เร็วแค่ไหน รวมทั้งต้องรอดูนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนใหม่ว่าจะมีการดำเนินนโยบายด้านการเงินและการคลังอย่างไร ส่วนประเด็นเรื่องการเมืองภายในประเทศนั้น กระทรวงการคลังมองว่ายังไม่มีผลกระทบที่เป็นนัยสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2564
อย่างไรก็ดี ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มองว่า โครงการคนละครึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนโดยส่วนใหญ่ เพราะเป็นนโยบายที่สามารถเข้าถึงคนไม่ว่าธุรกิจขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ อีกทั้งยังเป็นโครงการที่ผลักดันให้ประชาชนเข้าสู่ระบบดิจิทัล ใช้เทคโนโลยีในระบบธุรกิจมากขึ้น การหมุนเวียนของเงินเร็วขึ้น โดยหอการค้าไทยสนับสนุนหากรัฐบาลจะเดินหน้าโครงการคนละครึ่งในระยะที่ 3 ต่อ โดยเชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาส 1 และ 2 ของปี 2564 ได้เป็นอย่างดี และเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย.
ครองขวัญ รอดหมวน
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |