4 ม.ค.2564 รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง ระบุว่า ผู้บริหารของกรมสรรพากรกำลังพิจารณากรณีผู้ที่ได้รับเงินจากโครงการคนละครึ่ง จำนวน 3,500 บาท และโครงการเราเที่ยวด้วยกันที่ได้รับส่วนลดค่าพักโรงแรม 40% และได้รับคูปองค่าอาหารวันละ 600-900 บาท จะต้องคิดเป็นรายได้เพื่อยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปี 2563 ที่ให้เริ่มยื่นแบบแสดงรายการภาษีตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 31 มี.ค. 2564
โดยขณะนี้มีผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเริ่มสอบถามเข้ามาที่กรมสรรพากรถึงความชัดเจนเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว เพราะกังวลว่าหากไม่แจ้งรายได้ในส่วนนี้เพื่อเสียภาษีจะถูกเบี้ยปรับเงินเพิ่มย้อนหลังได้
“ผู้บริหารของกรมสรรพากรกังวลเรื่องนี้อย่างมาก เพราะกลัวว่าจะถูกนำไปเป็นประเด็นทางการเมือง และได้มีการหารือเรื่องดังกล่าวมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เพราะตามหลักการแล้วรายได้จากโครงการคนละครึ่ง และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ต้องยื่นแบบแสดงเป็นรายได้เพื่อเสียภาษี หากเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นในปี 2563 จะต้องยื่นแบบในต้นปี 2564 แต่หากเป็นรายได้ในปี 2564 จะต้องยื่นในปี 2565” รายงานข่าว ระบุ
ทั้งนี้ ผู้บริหารของกรมสรรพากร จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือกับนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง ว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร หากจะให้มีการยกเว้นภาษีก็ต้องมีการนำเรื่องเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบโดยด่วน เพราะการยื่นภาษีเงินได้ของปี 2563 ได้เริ่มขึ้นแล้ว และมีคนที่ได้สิทธิ์ในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 1 กว่า 10 ล้านคน และระยะที่ 2 อีก 5 ล้านคน นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันอีกจำนวนมาก
ด้านนางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงาน เศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ได้เปิดให้ประชาชนได้เริ่มใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2564 นั้น จากข้อมูล ณ วันที่ 3 ม.ค. 2564 มีผู้ใช้สิทธิตามโครงการคนละครึ่งและโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 แล้วจำนวน 12,050,115 คน
โดยเป็นการใช้จ่ายของกลุ่มผู้ได้รับสิทธิเดิมจำนวน 9,536,644 คน ใช้จ่ายสะสม 52,358.3 ล้านบาท และผู้ได้รับสิทธิใหม่จำนวน 2,513,471 คน ใช้จ่ายสะสม 1,073.6 ล้านบาท รวมยอดการใช้จ่ายสะสม 53,431.9 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 27,353.4 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 26,078.5 ล้านบาท โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา ชลบุรี เชียงใหม่ และนครศรีธรรมราช และมีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1.1 ล้านร้านค้า โดยผู้ประกอบการร้านค้าที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับกรณีโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ที่มีการเสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงการจองห้องพักนั้น ปัจจุบันกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) อยู่ระหว่างพิจารณานำเสนอ ครม. เพื่อขยายระยะเวลาโครงการเราเที่ยวด้วยกันออกไปจนถึงวันที่ 31 ต.ค. 2564 รวมทั้งกำหนดระบบการเลื่อนวันเข้าพักสำหรับประชาชนที่ได้จองโรงแรมที่พักเพื่อเข้าพักตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2563 เป็นต้นไป
โดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จะดำเนินการปรับปรุงระบบให้สอดรับกับการดำเนินการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาโดยเร็วต่อไป ในระหว่างนี้ประชาชนที่ได้จองโรงแรมที่พักเพื่อเข้าพักตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2563 ที่มีความประสงค์จะเลื่อนการเข้าพักสามารถประสานโรงแรมได้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยโรงแรมสามารถรับเรื่องไว้ได้ก่อน และขอให้โรงแรมดำเนินการแจ้งการเลื่อนในระบบต่อไป
อย่างไรก็ดี โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ได้เปิดให้ผู้ประกอบการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2563 และเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2563 มาจนถึงปัจจุบันมีประชาชนลงทะเบียนแล้วทั้งสิ้น 7.3 ล้านคน ผู้ประกอบการโรงแรมที่พักลงทะเบียนทั้งสิ้น 8,514 แห่ง ร้านอาหาร 67,527 แห่ง สถานที่ท่องเที่ยว 2,098 แห่ง ร้าน OTOP 1,383 แห่ง และสปาหรือร้านนวดเพื่อสุขภาพและบริการขนส่งเพื่อการท่องเที่ยว 204 แห่ง โดยข้อมูล ณ วันที่ 1 มกราคม 2564 มีการใช้สิทธิจองห้องพักผ่านโครงการ แล้วทั้งสิ้น 5,106,470 สิทธิ (จากทั้งหมด 6 ล้านสิทธิ) คิดเป็นมูลค่าประมาณ 13,634 ล้านบาท
โดยเป็นการจองผ่านโรงแรมทั้งหมด 5,274 แห่ง รวมถึงมีการใช้จ่ายผ่าน E – Voucher ประมาณ 5,711.6 ล้านบาท และมูลค่าบัตรโดยสารเครื่องบินประมาณ 1,001.87 ล้านบาท โดยรวมแล้วมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจผ่านโครงการฯ แล้วไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |