ใหม่ ๖๔"แลรอยเก่า"ปี ๗๕ 


เพิ่มเพื่อน    

    สวัสดีปีใหม่ครับ
    เด็กขึ้นอีกปี นับจาก ๑๐๐ ลงไปนะครับ รู้สึกแฮปปี้ กระดี๊-กระด๊า อยากหาตุ๊กตุ่น-ตุ๊กตามาเล่นจัง
    ปี ๒๕๖๔ เห็นว่ารัฐบาลเพิ่ม "วันหยุดพิเศษ" อีก ๒๔ วัน ลองนับรวมวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และวันชดเชยแล้ว
    ๑ ปี มี ๑๒ เดือน จะทำงานกันประมาณ ๗ เดือน หยุดเฉียด ๕ เดือน
    จำเริญ..จำเริญเถอะ พ่อคุณ!
    คนระบบราชการและพนักงาน-ลูกจ้าง "ชอบมาก" เพราะรับอย่างเดียว ไม่มีต้นทุนต้องจ่าย ต่างกับคนทำธุรกิจ นายจ้าง "ไม่ชอบ"
    นอกจากมี "ต้นทุน" ต้องจ่ายแล้ว หยุดในขณะวงจรธุรกิจงานการสากลเขาไม่หยุด แล้วการค้าการขาย การติดต่อทางธุรกิจ จะยังไงกัน?
    ในเมื่อราชการก็หยุด ธนาคารก็หยุด โรงเรียน-มหา'ลัยก็หยุด ตลาดหลักทรัพย์ก็หยุด แต่เงินเดือน ค่าจ้าง ดอกเบี้ย ไม่หยุด!
    ภาวะนี้ กระเป๋ารัฐฉีก กระเป๋าราษฎร์บ๋อต๋อ กระเป๋าพ่อค้า-นายทุน ถึงเงินเต็ม แต่การที่ "เงินไม่ทำงาน" ก็ปวดหัวตึ้บกับเงินขี้เกียจ
    อย่าเรียกว่าเพื่อ "กระตุ้นการท่องเที่ยว" เลย ทำงานครึ่งปี เที่ยวครึ่งปี ต้อง "เป่าตูดท่องเที่ยว" แล้วละ ก็จะเอาเงินที่ไหนเที่ยวกันนักหนา
    คิดแล้วก็แปลกดี มีการหยุดราชการ "ชดเชย" ให้คนทำงาน
    แต่ภาคประชาชน ไม่มีการ "ทำงานชดเชย" ให้ประเทศชาติเลย?
    ไม่เคยเห็นประเทศไหน สร้างชาติให้เจริญได้ ด้วยการเพาะนิสัยให้คนไม่ต้องทำงาน หรือทำงานน้อยๆ แต่เที่ยวให้มากๆ
    ประเทศไทยกำลังสร้างทฤษฎีใหม่ อย่ากระนั้นเลย ผมก็ประกาศมั่ง
    ๑ มกรา.ของทุกปี "ไทยโพสต์หยุด" ไม่ทำงาน ๑ วัน
    ฉะนั้น ฉบับวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๔ ไม่มีหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ให้อ่าน
    ต้องอาทิตย์ที่ ๓ มกรา.จึงจะมีไทยโพสต์ หนังสือพิมพ์ดี ที่มีคนอ่าน (บ้าง) แต่ไม่ (ค่อย) มีคนซื้อ วางตากแดดตามแผง
    ปี ๖๔ ของไทยโพสต์.....
    คงต้องขยุกขยิก ขยับเนื้อ-ขยับตัว ไปตามแรงดีดแกนโลก ที่ปรับสภาพน้ำหนัก จากแผ่นดินละลายคืนสู่สภาพน้ำมากขึ้น
    อิทัปปัจจยตาครับ ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย 
    พระพุทธเจ้าตรัสสอน ๒ อย่าง ทุกข์ กับการออกจากทุกข์
    ทุกข์ พอรู้ แต่การออกจากทุกข์นี่ซี
    ส่วนใหญ่รู้ และก็ส่วนใหญ่อีกนั่นแหละ "ออกไม่ได้" เพราะตัว "อุปาทาน"
    การเอาใจเข้าไปผูกไว้, มัดไว้, ยึดไว้ กับสิ่งใด-สิ่งหนึ่ง นั่นรถเรา นั่นแฟนเรา นั่นเก้าอี้เรา นี่คืออุปาทานที่มัดให้เราสลัดทุกข์ไม่หลุด
     อ้าว...ปีใหม่ จะสนุกๆ ลากเข้าวัดซะแล้ว แต่มันเป็นความจริงที่เป็นกับตัวเราทุกคนอย่างนั้นมิใช่หรือ? 
    ก็ไม่ได้ต้องการให้ทุกคนเป็นพระเวสสันดรหรอก เพียงอยากให้มีสติรู้ ได้ก็ดีใจพองาม เสียก็เสียใจพอเป็นกิริยา
     ว่างๆ ก็พักการเพ่งคนอื่น แล้วหันมาเพ่งในตัวเรา คือ "สำรวจตัวเอง" เป็นการเคาะสนิมตัณหากันบ้าง
    จะได้ไม่ต้อง "แบกโลก-แบกตัวเอง" หนัก ตลอด ๒๔ ชั่วโมง
    ขั้นแรก ปล่อยวาง "โควิด-๑๙" ไปเลย
    อย่ายึดติดมันไว้กับความกลัว เที่ยวไหน-เที่ยวไป ยึดไว้อย่างเดียว "ยึดหน้ากากอนามัย" ปิดจมูก-ปากไว้ โควิดมันเซย์กู๊ดบาย ไปเอง
    แต่อย่าดูดโอเลี้ยงโดยไม่ปลดหน้ากากออกก่อนล่ะ
    จะเลอะ!
    ไอ้การเมืองน่ะ อย่าไปบ้ากะมันให้มากนัก ปล่อย ๕๐๐+๒๕๐ ส.ส.-ส.ว. และ ๓๕ รัฐมนตรี กับอีก ๑ นายกฯ เขาบ้ากันไปเถอะ
    พวกการเมืองมันเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย คือโรค "บ้ายึด"
    ยึดในอำนาจ ยึดในตำแหน่ง ยึดในพรรค ยึดในรัฐสภา ยึดในรัฐธรรมนูญ ยึดในผลประโยชน์ ยึดในอภิสิทธิ์
    มีอย่างเดียวที่ควรยึด คือ "ประโยชน์สุขอันพึงได้-พึงมีกับประชาชนและกับความสงบร่มเย็นของบ้านเมือง"
    แต่พวกนี้ "ปากยึด" การกระทำ "ไม่ยึด"    !
    ทุกวันนี้ มีบางพวก "บ้ายึด" หนักข้อขึ้นไปอีก ยึดอำนาจไม่พอ มันจะ "ยึดประเทศ-ยึดสถาบัน"
    ยึดเอาไปชำแหละขายหรือยึดเอาไปออกโฉนดให้แม่มัน ก็เป็นได้ทั้งสองอย่าง
    นี่ เมื่อวาน ขำเบอร์ ๕ ไปเลย มีคนส่งรูปทักษิณ ชินวัตร ยืนกอดคอกับฝรั่งไม่รู้สัญชาติอะไร ฉีกยิ่มเริงร่า ฝรั่งอยู่ในท่าชี้่นิ้ว มีภาษาอังกฤษติดว่า
    Thank you for visiting Mr.President
    ด้านล่างของภาพ มีคำว่า
    Thailand President และติดโลโก้ธงชาติไทย
    เออ...ดูมันทำ
    ผมเชื่อ ทักษิณไม่ทำ แต่คนทักษิณนั่นแหละ ใครซักคนทำ ทักษิณแค่แอบชอบ
    เมื่อหนักข้อถึงขั้นนี้ พวกเรา-ประชาชน ก็ต้องช่วยกันคลายยึดให้พวกเขาหน่อย
    จะตัดหางหรือตัดหัว หรือตัดหัว-ตัดหางตลอดตัว ก็ยกให้แซง-ตุ๊ด เฒ่าท่าพระจันทร์บัญชา
    หยุดยาว สันหลังผมก็ยาวตาม อะไรที่ต้องทำ มีเยอะ แต่ขี้เกียจทำ เลยค้นหนังสือมาอ่าน 
    หยิบ "ไปเมืองนอกครั้งแรก ร.ศ.๑๑๘" พระนิพนธ์ "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร" ที่ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต "หลานเสด็จปู่" เรียบเรียงไว้ และเซ็นมอบให้ผม ๑ เล่ม นานแล้ว มาเปิดอ่าน
    ที่จริงอ่านหลายครั้งแล้ว พอดีมีข่าวฉาว ว่าด้วยการพบข้อบิดเบือนงานทางวิชาการในหนังสือ "ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ" เขียนโดย "ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง" 
    โดยอ้างอิงหลักฐานอันไม่มีจริงขึ้นเอง 
    กล่าวอ้างพระนาม "กรมขุนชัยนาทนเรนทร" เข้าไปในงานเขียน ว่าด้วยเรื่อง “การเข้าแทรกแซงการเมืองในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. หลังรัฐประหาร ๒๔๙๐"
    "กรมขุนชัยนาทนเรนทร" ที่ว่านั้่น คือ "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร"
    พระราชโอรสใน "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"  รัชกาลที่ ๕ ทรงเป็น "เสด็จลุง" ที่ใกล้ชิดกับครอบครัวในหลวงรัชกาลที่ ๘ และที่ ๙ ที่สุด
    สำเร็จการศึกษาจากเยอรมัน พระผู้ทรงวางรากฐานทั้งจุฬาฯ ทั้งการแพทย์-การสาธารณสุข ทั้งโรงพยาบาลศิริราช 
    เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และทรงเป็นประธานองคมนตรี 
    ในการราชาภิเษกสมรส "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ ๙ ทรงเป็น "ราชสักขี" ลงพระนามในทะเบียนสมรส
    ทั้งได้รับฉันทานุมัติจากพระบรมวงศานุวงศ์ ให้กล่าวถวายพระพรชัยมงคล ทั้งในงานพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส และงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อปี ๒๔๙๓ 
    ยุคคณะราษฎรครองเมือง นั้น....
    จอมพล ป. ถูกลอบทำร้ายหลายหน ก็หวาดระแวงไปทุกคน สั่งกวาดล้างจับกุมทั่วประเทศ    
    ปี พ.ศ.๒๔๘๑ จับพระองค์ไปขังตะราง ยัดข้อหาซ่องสุมจะก่อการกบฏ จอมพล ป. คัดคนมาทำหน้าที่ตุลาการเอง ตั้งพยานเอง ตัดสินจำคุกพระองค์ที่บางขวางร่วม ๕ ปี
    ถึงปี พ.ศ.๒๔๘๖ นั่นแหละ สงครามโลกครั้งที่ ๒ ญี่ปุ่นใกล้แพ้ จอมพล ป. ซึ่งถือข้างญี่ปุ่น รู้สึกผิด ทั้งถูกกดดันในศึกชิงอำนาจคณะราษฎรด้วยกัน
     จึงขอพระราชทานอภัยโทษให้พระองค์ออกจากคุก 
    แต่ที่ถูกกวาดจับทั้งหมด ถูก "ยิงเป้า" สนองอำนาจจอม ป. ไป ๑๘ คน!
    "ม.ร.ว.ปรียนันทนา" เรียบเรียงเหตุการณ์บ้านเมืองยุค "จอมพลป. ปฏิวัติวัฒนธรรม" ไว้น่าสนใจ ตอนหนึ่งว่า
    พ.ศ.๒๔๘๒ เป็นปีที่สำคัญยิ่งต่อประวัติศาสตร์ของชาติไทย รัฐบาลพันเอก หลวงพิบูลสงคราม ได้ประกาศยกเลิกวันสงกรานต์ ซึ่งเป็นวันปีใหม่ตามประเพณีไทย เพื่อใช้วันปีใหม่สากล (๑ มกราคม) แทน
    ดังนั้น ปี ๒๔๘๒ จึงมีเพียง ๘ เดือนเท่านั้น
    รัฐบาลได้ประกาศเปลี่ยนชื่อประเทศจาก "สยาม" เพราะถูกพิสูจน์ว่าไม่เหมาะสมและคับแคบ เป็น "ประเทศไทย" เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๒ 
    ซึ่งเป็นวันครบรอบวันปฏิวัติครั้งแรกใน พ.ศ.๒๔๗๕ และประกาศให้วันนี้ เป็น "วันชาติและเฉลิมฉลองเอกราชอันสมบูรณ์"
    หลังจากนั้น รัฐบาลก็ได้เริ่มการ "ปฏิวัติวัฒนธรรม" ต่อไป เช่น ห้ามมิให้ประชาชนแขวนพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามบ้านเรือนหรือที่สาธารณะ แต่นำรูปของท่าน "ผู้นำ" ไปแจกให้แขวนแทน
    "ปฏิวัติวัฒนธรรม" อื่นๆ มีตัวอย่าง เช่น ห้ามไม่ให้ประชาชนกินหมากเพราะป่าเถื่อน ห้ามไม่ให้ผู้หญิงนุ่งโจงกระเบน ต้องนุ่งผ้าซิ่น ใส่หมวก 
    ผู้ชายต้องใส่เสื้อเชิ้ต สวมหมวก กางเกง ถุงเท้ารองเท้า ให้เรียบร้อย ไปในสถานที่ราชการหรือที่สาธารณะ ฯลฯ
    ปฏิวัติวัฒนธรรมของพันเอกหลวงพิบูลสงคราม นับว่าประสบความสำเร็จ เพราะมาตรการหลายอย่างมีผลอย่างถาวรในการทำลายขนบธรรมเนียมประเพณีและชีวิตความเป็นอยู่ซึ่งเป็นไทยแท้ๆ โดยสิ้นเชิง
    อืมมมม....
    อาศัยเหตุพวก "มั่วประวัติศาสตร์" ใส่ร้ายเจ้าเป็นเชื้อ ทำให้ได้ศึกษาหา "ประวัติศาสตร์" ของจริง ตามเป็นจริงมาอ่าน ก็ดีไปอย่าง
    มีอีกหลายเล่ม จากปากคำเจ้าตัวคณะราษฎรเอง ทั้งบันทึกไว้ ทั้งให้สัมภาษณ์ไว้ กระทั่งท่านปรีดี พนมยงค์ ก็มี
    ทำให้รู้ว่า "คณะราษฎร ๒๔๗๕" ได้อำนาจปุ๊บ-กัดกันปั๊บ เพื่อแย่งอำนาจและผลประโยชน์
     "เพื่อราษฎร" แค่ข้ออ้าง "มึงบ้าง-กูบ้าง" ไม่ต่างโจร คือของจริง
    ว่างๆ จะอ่านมาเว้า.......
    วันนี้ สวัสดี ๒๕๖๔ "ปีฉลู" นะจ๊ะ!
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"