เปิด 10 วาทะเด็ด 'บิ๊กตู่' 'ผมไม่ออก ผมทำผิดอะไร'


เพิ่มเพื่อน    

     ในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา มีหลากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง ทั้งสถานการณ์ทางการเมืองจนนำไปสู่การชุมนุม สถานการณ์ของโรคระบาดโควิด-19 ปัญหาด้านเศรษฐกิจ และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี จนนำมาสู่วาทะเด็ดของผู้นำประเทศ อย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดังนี้

     1.ความดีจะชนะทุกอย่าง

     เมื่อวันที่ 2 มกราคม เริ่มต้นปีมะเมียซึ่งเป็นปีชงของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงถูกนักข่าวสอบถามภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีที่โหราศาสตร์จีนระบุว่า ปีนี้เป็นปีชงของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเกิดปีมะเมีย จะป้องกันแก้เคล็ดอย่างไรหรือไม่ โดยพล.อ.ประยุทธ์ตอบช่วงหนึ่งว่า

     “หมอดูก็คือหมอดู เขาก็นำสถิติมาดู ซึ่งผมไม่ดูถูก ผมเคารพอยู่แล้ว ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นตามศาสตร์ของท่าน แต่สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่ใจของพวกเราทุกคน ถ้าเราทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และโปร่งใส ตรวจสอบได้ ส่วนที่ถามว่าผมกังวลหรือไม่ ผมกังวลแล้วได้อะไรขึ้นมา ผมก็คือผม ผมเกิดมาแล้วก็เปลี่ยนวันเกิดไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ผมว่าไม่ใช่อยู่ที่ดวงอย่างเดียวหรอก คงเป็นเรื่องของการทำงาน เป็นเรื่องของการตั้งมั่นในการทำความดี และผมคิดว่าบุญกุศลก็อาจจะคุ้มครองเราได้บ้าง ทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ซึ่งผมก็ฝากไปถึงรัฐมนตรีใน ครม.ของผมด้วย ผมก็ผ่านมาหลายรอบแล้วปีชง ถ้าเราทำความดีด้วยหัวใจ คิดดีทำดี ความดีจะชนะทุกอย่าง และมีสติ ไม่ประมาท”

     2.ประชาธิปไตย ล้มรื้อสร้างใหม่วันเดียวไม่ได้

     เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ที่สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา (ฝั่งพระนคร) พล.อ.ประยุทธ์ไปเป็นประธานในพิธีเปิด “สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา” โดยช่วงหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ได้นำโทรศัพท์มือถือมาเปิดเพลง “สะพาน” ให้ชาวบ้านฟัง พร้อมร้องคลอตาม และกล่าวว่า “นี่เป็นแรงบันดาลใจของผม จากจิตใจของผม และคิดว่าวันนี้จิตใจของครม.และข้าราชการทุกคนเป็นดวงเดียวกัน คือทำเพื่อประชาชน อะไรไม่ดีต้องแก้ไข อะไรคิดนอกกรอบก็ต้องคิด ปรับจูนแก้ให้ตรงกันให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ก็บอกเหตุผล ถ้าชนกันแบบเดิมไม่มีอะไรทำได้ ต้องคิดว่าทำอย่างไรคนจะมีบ้าน มีชีวิตดีขึ้น ซึ่งทุกอย่างคือยุทธศาสตร์ชาติที่มีขั้นตอนอยู่แล้ว กลไกประชาธิปไตยเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ล้มรื้อสร้างใหม่วันเดียว มันไม่ได้ เราเป็นมา 80 กว่าปีแล้ว”

     3.ระวังตัวบ้างก็แล้วกัน

     เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม การอภิปรายในการประชุมสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 วงเงิน 3.3 ล้านล้านบาท วันที่สาม โดย น.ส.ศิริกัญญา ต้นสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายอยากให้พล.อ.ประยุทธ์เลิกคิดว่าคนที่คิดต่างเป็นพวกชังชาติ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ลุกชี้แจงช่วงหนึ่งว่า

     “ยินดีกับคำกล่าวเห็นยกไม้ยกมือกันใหญ่ นั่นก็เป็นความเห็น ไม่เคยมองคนเห็นต่างเป็นศัตรู แต่มีบางคนมองกฎหมายเป็นศัตรูทุกกฎหมาย และอย่ามากล่าวหาว่าผมใช้กฎหมายกับผู้เห็นต่าง กฎหมายอยู่เฉยๆ ผมก็นั่งเฉยๆ ใครทำผิดต้องถูกลงโทษ ผมสั่งเขาได้หรือ ถ้าสั่งได้คงไม่เป็นแบบนี้ แต่ผมไม่ได้สั่ง ระวังตัวบ้างก็แล้วกัน กฎหมายมีผลบังคับใช้กับทุกคน แม้กระทั่งผมก็ยอมรับกฎหมาย”

    4.รวมไทยสร้างชาติ

     เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม คำว่า “รวมไทยสร้างชาติ” กลายเป็นคำติดปากและแนวทางการทำงานของรัฐบาลนี้ หลังสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด และเป็นจังหวะเดียวกับที่ได้ ครม.ชุดใหม่เข้ามาร่วมทีมทำงานในวันดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์จึงได้แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ระบุช่วงหนึ่งว่า “ในช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ เราต้องให้คนที่เก่งที่สุดจากทุกภาคส่วน และจากทุกระดับของสังคม ได้มีโอกาสใช้ความรู้ความสามารถทำงานร่วมกัน เพื่อผ่านพ้นวิกฤติโควิดนี้ไปให้ได้ และมากกว่าแค่ผ่านพ้นวิกฤติโควิด คือตอนนี้เราต้องทำงานร่วมกันเพื่อวางแผน และขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น ด้วยวิธีการทำงานแบบ new normal ที่เรียกว่า รวมไทยสร้างชาติ ส่วนหนึ่งของรวมไทยสร้างชาติ คือการเปิดโอกาสให้คนเก่งๆ ในประเทศของเรา ไม่ว่าจะมาจากที่ไหน ได้ทำงานร่วมกัน ได้ใช้ความรู้ความสามารถทำประโยชน์ให้กับประเทศ ผมจึงได้ตัดสินใจเชิญผู้มีความสามารถ ซึ่งเป็นคนนอก ที่ไม่ได้มาจากภาคการเมือง เข้ามาเป็นรัฐมนตรีใหม่"

    5.ไม่ออก ผมทำความผิดอะไร

     เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ เพื่อให้ความเห็นชอบการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง โดย พล.อ.ประยุทธ์นำทีม ครม.ยืนเรียงระหว่างแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน พร้อมตอบคำถามกรณีหนึ่งในข้อเสนอของม็อบราษฎร เรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งว่า “ไม่ออก” เมื่อถูกถามย้ำอีกว่า ยังมั่นใจหรือไม่ว่าจะยังทำให้ประเทศมีความสงบได้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ถามกลับว่า “แล้วที่ไม่สงบเพราะอะไร เพราะใคร สิ่งที่รัฐบาลนี้ทำมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำอะไรไปแล้วบ้าง ท่านเคยนำเสนอข่าวเหล่านี้ให้ประชาชนทราบหรือไม่ ถ้าเสนอข่าวแต่การเมืองอย่างเดียวก็จะวุ่นวายอย่างนี้ ท่านก็เสนอของท่านไปให้สถานการณ์มันสงบ ผมไม่ห้ามท่านอยู่แล้ว แล้วผมทำความผิดอะไรหรือ ผมผิดอะไรตอนนี้

     6.ผมเบื่อการใช้อำนาจ

     เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ที่หอประชุมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในช่วงท้ายของการเป็นประธานในพิธีเปิดการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 63 ว่า “ผมไม่เคยคิดว่าต้องมายืนตรงนี้ นี่อยู่มา 6 ปีแล้ว แต่ยังยืนอยู่ได้ยังไงเนี่ย หวังทุกคนคงเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจกันคงไปยาก ก็หวังอย่างยิ่งว่าถ้าวันหน้ามีคนที่เก่งกว่าผม ดีกว่า ซื่อสัตย์กว่าผม ซื่อสัตย์เหมือนผม ทำงานเหล่านี้ต่อไป ซึ่งการมีอำนาจ การที่ต้องมารับผิดชอบไม่ใช่เรื่องสนุก ผมใช้อำนาจมาเยอะ เป็น ผบ.ทบ.มา 4 ปี ผมเบื่อการใช้อำนาจ การใช้อำนาจใช้เฉพาะคือดูแลคนที่เขาทำความดี และลงโทษคนที่ทำความไม่ดี ก็เท่านั้น แค่สองอย่างนี้ยังยากเลย"

    7.ผมไม่ได้ห่วงตำแหน่ง แต่ห่วงฐานะประเทศ

     เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ที่ห้องแกรนด์ดิแอทธินีโฮเทลแบงค็อก กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานพิธีเปิดงานสัมมนาและกล่าวปาฐกถา ในงานสัมมนา "ภาคธุรกิจไทย ในวิถียั่งยืน" พร้อมกล่าวช่วงหนึ่งว่า "ผมไม่อยากให้ต่างประเทศมองว่าเราเชื่อมั่นไม่ได้ เราต้องการให้เขาย้ายฐานการผลิตมาไทย แต่มีปัญหากันอยู่ทุกวัน เขาจะมาไหม นี่คือสิ่งที่ผมเป็นห่วง ผมไม่ได้ห่วงที่ตัวผมเรื่องตำแหน่งอะไรทั้งสิ้น แต่ผมห่วงฐานะประเทศไทยจะไปอยู่ตรงไหน และถ้าเขาไม่มา ย้ายฐานผลิตไปที่อื่นกันหมดจะทำอย่างไร เรื่องสิทธิประโยชน์ก็จำเป็นต้อง รับฟังความคิดเห็นของเราว่าจะให้มากน้อยแค่ไหน มากเกินไปก็กลายเป็นเอื้อประโยชน์ ให้น้อยเกินไปเขาก็ไม่มา”

     8.ถ้าผมละเว้นมากๆ ผมก็โดนมาตรา 157

     เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงการบังคับใช้มาตรา 112 ช่วงหนึ่งว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เขาต้องทำไปตามข้อมูลและหลักฐานขึ้นไป แต่ทั้งหมดไม่ได้จบที่ตรงนี้ ต้องอยู่ที่ศาลด้วย ซึ่งศาลเป็นองค์กรอิสระ รัฐบาลไม่มีอำนาจไปก้าวล่วงกับอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ นายกฯ ไม่มีอำนาจตรงโน้น แต่ตรงนี้อำนาจของตนเพียงให้เขาทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้ถูกฟ้องร้องภายหลัง ก็ต้องระมัดระวังซึ่งกันและกันให้มากที่สุด เมื่อถามถูกถามกรณีนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ปัญญาชนสยาม เรียกร้องให้ทบทวนการใช้มาตรา 112 พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงว่าตนเองไม่ได้เป็นคนใช้ แต่เจ้าหน้าที่เป็นคนใช้ กฎหมายมีอยู่แล้วหรือยัง ก็มีทุกตัว "ถ้าผมละเว้นมากๆ ผมก็โดนมาตรา 157"

    9.ประเทศไทยไม่ใช่สาธารณรัฐ

     เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ตอบคำถามสื่อมวลชนภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีการประกาศจุดยืนเรื่องสาธารณรัฐของกลุ่มผู้ชุมนุม และการใช้ค้อนเคียวเป็นสัญลักษณ์ ปลายทางจะนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงเหมือนในอดีตหรือไม่ และรัฐบาลจะป้องปรามหรือยับยั้งไม่ให้ไปสู่จุดนั้นอย่างไร ว่า “มันถูกต้องหรือเปล่า ฝ่ายกฎหมายต้องไปพิจารณา และเข้ากำหนดกฎเกณฑ์อะไรหรือไม่ รัฐบาลจะต้องป้องปรามหยุดยั้งไม่ให้ไปถึงจุดนั้น ซึ่งต้องดูที่เจตนาของเขาและความเป็นไปได้ บ้านเมืองเรามีกฎหมายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ใครเข้าข่ายกระทำความผิดยุยงปลุกปั่น พวกนี้จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทุกประการ ซึ่งเรื่องสาธารณรัฐ ผมไม่มีความเห็น เพราะประเทศไทยไม่ใช่สาธารณรัฐ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

    10.ผมไม่ช็อก ไม่ใช่คนใจอ่อนขนาดนั้น

     เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ที่สโมสรทหารบก วิภาวดี หลังฝ่ายค้านเตรียมเปิดศึกซักฟอก พล.อ.ประยุทธ์อีกครั้งในต้นปี 2564 ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ตอบในประเด็นดังกล่าวว่า “ก็เปิดสิ จะซักฟอกอะไรก็ซักมา” เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามอีกว่าฝ่ายค้านประกาศว่าอาจจะช็อกได้ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า "ผมไม่ช็อกหรอก ผมไม่ใช่คนใจอ่อนขนาดนั้น ปัดโธ่ ข้อเท็จจริงมีอยู่แล้ว".


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"