วันนี้วันสุดท้ายของปี 2020 ส่งท้ายปีที่แสนจะโหดร้าย เพราะโรคระบาดโควิด-19 และผลพวงหนักหน่วงต่อเศรษฐกิจและสังคม
เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดได้อย่างฉับพลันทันด่วน และเปลี่ยนแปลงชีวิตคนทั้งโลกได้อย่างน่ากลัวขนาดนี้
นิตยสารไทม์จึงขึ้นปกรูปนี้พร้อมคำบรรยายตัวเล็กๆ ว่าเป็น The Worst Year Ever
แปลว่า 2020 เป็น "ปีที่ย่ำแย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา"
บางคนบอกว่าแม้แต่สงครามโลกครั้งที่สองก็ยังไม่สร้างความเสียหายต่อมนุษยชาติเท่านี้
เพราะในการทำสงครามยังพอเห็นว่าศัตรูคือใคร มีหน้าตาอย่างไร มีอาวุธอะไร
แต่ในการทำสงครามกับโคโรนาไวรัสตัวนี้ ไม่อาจจะมองเห็นศัตรูได้ ไม่รู้จำนวนและไม่รู้พิษสงที่แท้จริง
รู้แต่ว่ามันสามารถโจมตีเราได้ตลอดเวลา ไม่แยกเชื้อชาติ ผิวพรรณ หรือเส้นแบ่งเขตพรมแดน
เรามองไม่เห็นตัวศัตรู แต่รู้ว่ามันอยู่ในทุกจุด พอเราเผลอมันก็จะรุกทันที
อีกทั้งอาวุธที่เราจะใช้สู้มันได้อย่างถาวรหรือวัคซีนนั้น มนุษย์ไม่สามารถจะสร้างขึ้นมาได้ทันที ต้องทดลองในห้องวิทยาศาสตร์ ลองกับหนูกับลิงก่อนแล้วจึงจะทดลองกับคนได้
กว่าจะได้วัคซีนต้องใช้เวลาหลายปี
หากจะเร่งรัดให้เร็วขึ้นก็ทำได้ แต่ต้องใช้เงินมหาศาล อีกทั้งยังไม่แน่ว่าเมื่อฉีดใส่มนุษย์แล้วจะได้ผลชะงัดมากน้อยเพียงใด
นอกจากนี้ยังมีคำถามว่า หากเจ้าไวรัสตัวนี้กลายพันธุ์ไปเรื่อยๆ วัคซีนที่มนุษย์คิดค้นขึ้นได้จะตามมันทันหรือไม่
นี่คือภาวะของสงครามที่ไวรัสตัวเดียวสามารถทำให้ทั้งโลกต้องหยุดกิจกรรมปกติทั้งหมดพร้อมๆ กัน
ไม่ว่าประเทศรวยหรือจนก็ต้องเผชิญกับความท้าทายเหมือนกัน
มิหนำซ้ำ ไม่ใช่ว่าประเทศที่รวยหรือมีความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรมจะสามารถต่อสู้กับไวรัสตัวนี้ได้ดีกว่าประเทศเล็กกว่าและร่ำรวยน้อยกว่า
ตัวอย่างมีให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วในกรณีสหรัฐฯ ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ไม่เห็นความรุนแรงของปัญหาตั้งแต่ต้น จึงกลายเป็นประเทศที่มีคนติดเชื้อและตายมากที่สุดในโลก
ไวรัสตัวนี้แหละที่ทำให้ทรัมป์แพ้เลือกตั้ง เพราะเมื่อไม่ยอมเชื่อในเรื่องใส่หน้ากากและรักษาระยะห่าง ก็ทำให้ผู้คนในประเทศติดเชื้อกันเต็มไปหมด
ต่อมาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็ถูกกระทบอย่างแรง มีผลทำให้คนอเมริกันหมดศรัทธาในความสามารถบริหารวิกฤติของทรัมป์
ส่งผลให้โจ ไบเดนที่มีแนวทางที่เน้นเรื่องใส่หน้ากากและรักษาระยะห่าง ได้รับความนิยมมากกว่าจนชนะเลือกตั้งไปได้
มีประเด็นน่าคิดว่าถ้าไม่มีเรื่องโควิด ทรัมป์อาจชนะไบเดนกลับมาเป็นประธานาธิบดีอเมริกันสมัยที่สองก็ได้
ในขณะเดียวกัน สี จิ้นผิงของจีนก็ได้รับคะแนนนิยมสูงขึ้นจากประชาชนของเขา เพราะความเด็ดขาดในการจัดการโควิดตั้งแต่เริ่มระบาดที่เมืองอู่ฮั่นเป็นจุดแรก
ผู้นำจีนคนนี้ใช้นโยบายเชิงรุก ปิดเมืองตั้งแต่ต้นจนสามารถทำให้การระบาดหยุดชะงัก
ไม่แต่เท่านั้น สี จิ้นผิงยังสามารถบริหารเศรษฐกิจภายใต้วิกฤติโควิดได้ดี ถึงขนาดอัตราโตจีดีพีปีนี้ยังบวกได้ 3-4% ทั้งที่ประเทศอื่นๆ ล้วนแต่ติดลบกันจ้าละหวั่นไปหมด
จนทำให้เกิดการเปรียบเทียบระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในเรื่องความสามารถการบริหารความผันผวนและวิกฤติ
ปีนี้จึงเป็นปีแห่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา
เป็นปีที่โหดเหี้ยมสำหรับผู้ที่ติดเชื้อและเจ็บป่วยล้มตาย
เป็นปีที่ท้าทายความสามารถของคนและองค์กร ในการฟันฝ่าวิกฤติด้วยความรู้ความสามารถประสบการณ์และมุมมองต่อชีวิตที่ต้องมีสติ ความอึด และความชาญฉลาดที่หาไม่ได้ง่ายๆ ในภาวะปกติ
แต่เป็นปีที่เปิดโอกาสให้คนที่พร้อมจะมองหาโอกาสในวิกฤติ และแปรปัญหาเป็นช่องทางของการสร้างความได้เปรียบ
ไม่ว่าจะเป็นปีแบบไหนสำหรับคุณ ที่ปฏิเสธไม่ได้คือเป็นปีที่ "จะไม่มีวันลืมเลือนไปตลอดชีวิต" ของทุกคน!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |