30 ธ.ค.2563- รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า สถานการณ์ทั่วโลก 30 ธันวาคม 2563 ทะลุ 82 ล้านไปแล้ว พรุ่งนี้อเมริกาจะจบท้ายปีด้วยจำนวนรวมเกิน 20 ล้าน เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 666,672 คน รวมแล้วตอนนี้ 82,206,903 คน ตายเพิ่มอีก 14,487 คน ยอดตายรวม 1,793,495 คน อเมริกา เมื่อวานติดเชื้อเพิ่ม 204,568 คน รวม 19,918,997 คน ตายเพิ่มอีกถึง 3,239 คน ยอดตายรวม 345,795 คน อินเดีย ติดเพิ่ม 20,479 คน รวม 10,245,276 คน บราซิล ติดเพิ่มถึง 77,457 คน รวม 7,563,551 คน รัสเซีย ติดเพิ่ม 27,002 คน รวม 3,105,037 คน ฝรั่งเศส ติดเพิ่ม 11,395 คน รวม 2,574,041 คน อันดับ 6-10 เป็น ตุรกี สหราชอาณาจักร อิตาลี สเปน และเยอรมัน ส่วนใหญ่ติดกันหลักหมื่นต่อวัน
เมื่อวานนี้สหราชอาณาจักรติดเชื้อเพิ่ม ทำลายสถิติสูงสุดอีกครั้งคือ 53,135 คน สถานการณ์น่าเป็นห่วงมาก แม้จะเริ่มฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน แต่คาดว่ากว่าจะเห็นผลคงประมาณมีนาคมปีหน้า ฝั่งอเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย อย่างโคลอมเบีย เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ ยูเครน แคนาดา รวมถึงอิหร่าน บังคลาเทศ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และมาเลเซีย ยังติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลายหมื่น แถบสแกนดิเนเวีย รอบทะเลบอลติก และแถบยูเรเชีย ก็ยังมีติดเชื้อเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เมียนมาร์ติดเพิ่มหลายร้อย ส่วนจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่เวียดนาม นิวซีแลนด์ และกัมพูชา ติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ
...สถานการณ์ในเมียนมาร์ เมื่อวานติดเพิ่มขึ้นอีก 619 คน ตายเพิ่มอีก 19 คน ตอนนี้ยอดรวม 123,153 คน ตายไป 2,637 คน อัตราตายตอนนี้ 2.1%
สำหรับเมืองไทยเรา ผมคิดว่าถึงเวลาที่จะบอกข้อมูลและการคาดการณ์สถานการณ์เพื่อให้เราทุกคนเตรียมรับมือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในปีหน้า ดังนี้ครับ...
หนึ่ง เราเข้าสู่การระบาดซ้ำ/ระลอกสอง/ระบาดใหม่/ระบาดอีกครั้ง...อย่างเต็มตัวแล้ว
สอง การระบาดซ้ำที่เรากำลังจะเผชิญนี้ แม้ในอนาคตจะดำเนินมาตรการเต็มที่อย่างไรก็ตาม (รวมถึงล็อกดาวน์"หากมี"หลังจากกลางมกราคมเป็นต้นไป ผสมกับการคลายบ้างล็อกบ้างตลอดช่วงเวลาการระบาด) เราจะมีจำนวนการติดเชื้อสูงสุดต่อวันถึงประมาณ 940 คนต่อวัน หรือสูงกว่าระลอกแรก 5 เท่า และดูจะมีความชัดเจนมากแล้วว่าการต่อสู้ศึกระบาดซ้ำครั้งนี้ เราจะใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือนครับ
สาม จำนวนคนที่คาดว่าจะติดเชื้อทั้งหมดจากการระบาดซ้ำครั้งนี้ประมาณ 23,635-33,088 คน โดยในจำนวนนี้จะเป็นผู้ที่อาการรุนแรงประมาณ 3,546-4,964 คน และมีผู้ป่วยที่ต้องเข้า ICU และ/หรือใช้เครื่องช่วยหายใจ 1,182-1,655 คน ตาย 237-331 คนหากไม่มีปัญหาขาดแคลนบุคลากร/เครื่องมือ/และยา แต่หากขาดแคลนจะสูงถึง 473-662 คน
สี่ จากการระบาดซ้ำครั้งนี้ คาดว่าสถานการณ์ไทยจะอัพเลเวลอันดับโลกไปถึงประมาณออสเตรเลียหรือฟินแลนด์ ขณะนี้ดูแล้วเป็นไปได้ยากมากที่จะกดการระบาดไปให้ถึงระดับของฮ่องกง
ห้า ด้วยลักษณะการตัดสินใจเชิงนโยบายปัจจุบัน ทั้งในเรื่องมาตรการที่ไม่เป็นทิศทางเดียวกันและช้ากว่าสถานการณ์ รวมถึงระบบการตรวจคัดกรองโรคที่ไม่เข้มแข็งเพียงพอที่จะรับมือกับการระบาดซ้ำได้ ดังจะเห็นได้จากจำนวนการตรวจที่ทำได้จำกัดมาก นอกจากนี้ยังพบปัญหาความไม่เพียงพอของอุปกรณ์ป้องกันต่างๆ ดังจะเห็นได้จากการขอรับบริจาคจากสาธารณะโดยโรงพยาบาลต่างๆ ที่เป็นด่านหน้าดูแลผู้ป่วย ทำให้คาดการณ์ว่า ระบบสุขภาพอาจประสบปัญหาในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อ หลังจากนี้ไปราว 6-8 สัปดาห์ โดยจะมีภาวะขาดแคลนอุปกรณ์ที่จำเป็นในการต่อสู้ ทั้งจากความไม่เพียงพอ หรือการกระจายส่งต่อ และที่จะต้องเตรียมรับมือคือ การจัดการความเสี่ยงต่อบุคลากรทางการแพทย์ทุกระดับ และความเหนื่อยล้า อันจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน ผลลัพธ์จากการดูแลรักษา และการสูญเสียบุคลากรทั้งจากการติดเชื้อและสาเหตุอื่น
หก ผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้างจะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหาเช้ากินค่ำ รวมถึงกิจการขนาดเล็กและขนาดกลาง นอกจากนี้ส่วนตัวแล้วคาดว่าจะเกิดผลกระทบหนักกับโครงการของรัฐที่ได้ดำเนินมาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งคงยากที่จะเข็นต่อไปตลอดช่วงระบาดซ้ำรุนแรง เพราะหากฝืนทำต่อ จะวิกฤติหนักจากระบาดระลอกสามแบบญี่ปุ่น
เจ็ด สถานการณ์ของระบบสุขภาพจะสั่นคลอนมาก เพราะถัดจากนี้ไป การดูแลรักษาโรคอื่นๆ ให้แก่ประชาชนจะได้รับผลกระทบอย่างมาก และส่งผลต่อผลลัพธ์ทางสุขภาพของผู้ป่วย ที่จะเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ยากมากขึ้น การรับการรักษาหลายอย่างได้ช้าลงกว่าเดิม นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องวางแผนลดความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดในโรงพยาบาล ทั้งในบุคลากรที่ทำงานโดยตรงกับผู้ป่วย บุคลากรฝ่ายสนับสนุน รวมถึงผู้ป่วยและญาติ ทั้งในแผนกผู้ป่วยนอก และผู้ป่วยใน
แปด จากลักษณะการระบาดซ้ำในไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการแพร่ระบาดใหญ่ในหลากหลายกลุ่มเสี่ยง หลากหลายพื้นที่ หลากหลายกิจการและกิจกรรม เพราะโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของเรานั้นมีจุดเปราะบางหลายเรื่องที่ไวรัสชอบโจมตี ดังนั้นจึงต้องระวังทั้งที่ตลาดสด ห้างสรรพสินค้า งานบุญต่างๆ งานปาร์ตี้เลี้ยงฉลอง งานแต่งงาน งานศพ สถานที่ท่องเที่ยว ไปจนถึงเคาต์ดาวน์ปีใหม่ในวันพรุ่งนี้ด้วย
ส่วนตัวแล้วเข้าใจเหตุผลลึกๆ และเงื่อนเวลาการตัดสินใจของ ศบค. สิ่งที่ประชาชนอย่างเราจะทำได้ ณ เวลานี้คือ ขอให้ป้องกันตนเองอย่าให้ติดเชื้อ หรือแพร่เชื้อให้ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว
1.อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติอีกครั้ง
2.ใส่หน้ากากเสมอ 100% เมื่อออกนอกบ้าน และออกเท่าที่จำเป็นจริงๆ
3.เตรียมเสบียงไว้ในบ้านบ้าง
4.เตรียมหยูกยาที่จำเป็น
5.ตัดผม ทำผม หาหมอ หาหมอฟัน...ควรจัดการให้เสร็จในสัปดาห์นี้หากทำได้
6.ทำงานที่บ้านนะครับหากเป็นไปได้
7.เลี่ยงการใช้ขนส่งสาธารณะ แต่หากเลี่ยงไม่ได้ก็ป้องกันตัวให้เต็มที่ ใส่หน้ากาก และใช้เจลแอลกอฮอล์
สำคัญที่สุดคือ ในวันพรุ่งนี้ ได้โปรดเถิดครับ ไม่ควรไปกินอาหารฉลองข้างนอก ไม่ควรไปเดินดูแสงสี พลุ หรือการแสดงอะไรต่อมิอะไร เพราะหากท่านไป ท่านก็มีสิทธิที่จะเป็นส่วนหนึ่งของผู้ติดเชื้อ หรือผู้แพร่เชื้อแก่คนจำนวนมาก ผลที่จะเกิดขึ้นคือ การระบาดครั้งนี้จะทวีความรุนแรงขึ้น อาจเกิดกว่าที่บอกไว้ข้างต้น โดยจะเห็นผลในช่วงกลางเดือนมกราคม แต่หากท่านไม่ออกจากบ้าน ท่านจะมีส่วนช่วยลดทอนการระบาดครั้งนี้ลงได้ไม่มากก็น้อย เกิดประโยชน์ทั้งต่อตัวเราและสังคม สุขเพียงวันเดียว...แต่หายนะกันยาวครับ อยู่บ้านกันนะครับ... ด้วยรักต่อทุกคน
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |