ก็ชัดเจนกันไป
    คุณหมอทวีศิลป์ แถลงข่าวยอมรับว่า.... 
    หนักกว่าคราวที่แล้ว
    "...ไม่กี่วันที่ผ่านมาเราเห็นตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็นหลักหลายพัน สะท้อนความเป็นจริงว่ามันหนักกว่า แต่เรามีความรู้มากกว่า มีสรรพกำลังมากกว่า มีการเตรียมการกันมาแล้ว 
    ถ้าย้อนกลับไปช่วงเดือนกุมภาพันธ์ และมีนาคม เรามีหน้ากากไม่พอ ยังไม่รู้ว่าต้องใช้ยาอะไร จะดูแลผู้ป่วยหนักอย่างไร แต่วันนี้เราเตรียมสรรพกำลังพอสมควร..."
    ฉะนั้นหลังจากนี้เข้าสู่โหมด D-M-H-T-T อย่างเป็นทางการกันอีกครั้ง 
    D : Distance เว้นระยะห่างระหว่างกัน 
    M : Mask Wearing สวมหน้ากากอนามัย 
    H : Hand Washing ล้างมือบ่อยๆ 
    T : Testing ตรวจวัดอุณหภูมิ 
    และ T-Thaichana การลงทะเบียนในแอปพลิเคชันไทยชนะ 
    ปฏิบัติ ๕ อย่างนี้ อย่างเคร่งครัดใน ๒ วงรอบโควิดคือประมาณ ๑ เดือน สถานการณ์จะพลิกจากหลังเท้าเป็นฝ่ามือแน่นอน 
    เพราะคนที่จะปราบโควิดอย่างได้ผลที่สุดคือ ประชาชนทุกคน
    ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล และตึงเครียดจากโควิด เรามาดูตัวเลขปลอบใจตัวเองกันหน่อย    
    หากไม่นับยอดติดเชื้อ ๕๔๘ ราย ที่ช็อกคนไทยทั้งประเทศเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานชาวเมียนมา เราเคยผ่านจุดพีกสุดเมื่อ ๒๒ มีนาคม ที่ติดเชื้อ ๑๘๘ คน ในวันเดียว
    ขณะที่การติดเชื้อรอบใหม่เฉพาะคนไทย ตัวเลขรายวันจนถึง ๒๗ ธันวาคม ยังไม่แตะ ๑๐๐ ราย
     เห็นตัวเลขนี้แล้วยังพออุ่นใจได้ แต่ประมาทไม่ได้
    ทีนี้มาดูสถานการณ์รอบๆ ชายแดนบ้านเรา
    ลาว ติดเชื้อแล้วรวม ๔๑ รายซึ่งนับว่าน้อยมาก 
    กัมพูชา ๓๖๔ คน
    มาเลเซีย ๑๐๓,๙๐๐ คน
    เมียนมา ๑๒๑,๒๘๐ ราย 
    ไกลออกไป เวียดนาม ๑,๔๔๐ คน
    สิงคโปร์ ๕๘,๕๑๙ ราย
    บรูไน ๑๕๒ ราย
    ฟิลิปปินส์ ๔๖๙,๐๐๕ คน
    อินโดนีเซีย ๗๐๖,๘๓๗ ราย
    และติมอร์ ๔๑ คน
    โดยที่ไทยติดเชื้อรวม ๖,๑๒๓ ราย
    ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศใหญ่ พลเมือง ๗๐ ล้านคน     ตัวเลขเหล่านี้บ่งบอกหลายอย่าง
    ที่สำคัญคือประสิทธิภาพของรัฐบาลและความมีวินัยของคนไทยในการรับมือกับวิกฤติโควิด เราทำได้ดีเป็นลำดับต้นๆ ในอาเซียน
    ฉะนั้นเพลาๆ เรื่องการเมืองการม็อบ ช่วยกันกินกุ้งโชว์ แก้โควิด กู้เศรษฐกิจไปพร้อมกัน
    นี่แหละคือการเมืองที่พัฒนาแล้ว.