วัดภูเก็ต-ดอยภูคา


เพิ่มเพื่อน    


ทิวทัศน์จากร้าน “เดอะวิว @กิ่วม่วง” อำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน

 

                ตามที่ได้ลั่นวาจาไว้เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนว่าจะกลับไปเยือนจังหวัดน่านอีกครั้งไม่เกินหนาวนี้ ผมคาดการณ์ไว้ว่าอาจจะเป็นมกราคมหรือกุมภาพันธ์ 2564 ไม่คิดว่าเพียงแค่กลางสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ได้ทำตามสัญญาเรียบร้อยแล้ว

                เพื่อนของผมขับรถจากกรุงเทพฯ ขึ้นไปเที่ยวเชียงใหม่ตั้งแต่เมื่อ 2-3 วันก่อน วันที่ผมนั่งเครื่องบินไปสนามบินน่านนคร เขาออกจากเชียงใหม่ตอนเที่ยงๆ ขับลงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านลำพูน ลำปาง ถึงแพร่แล้วก็วกขึ้นเหนือไปตามทิศตะวันออกเฉียงเหนือ วาดเส้นทางออกมาคล้ายอักษร V ขึ้นไปยังน่าน แวะเยี่ยมพรรคพวกในตัวเมืองน่าน ก่อนขับมารับผมที่สนามบินเมื่อเวลาฟ้ามืดลงพอดี

                เงื่อนไขที่ผมยื่นให้ผู้ร่วมทางคือ ผมต้องเป็นคนตัดสินใจเรื่องการเดินทาง การเลือกร้านอาหาร และอื่นๆ ตามจำเป็น ส่วนเพื่อนของผมมีข้อแม้ข้อเดียวคือ ห้ามแยกห้องนอน เพราะเขากลัวผีอย่างหนัก ผมยอมรับเงื่อนไขแม้รู้เต็มอกว่าหมอนี่เป็นนักกรนระดับโลก กรนแม้นอนตะแคง เขาเคยเล่าให้ผมฟังว่ากรนจนลูกน้อยร้องไห้ และเมียก็ไล่ไปนอนนอกห้องอยู่บ่อยๆ ผมเองก็เคยนอนร่วมห้องพักโรงแรมกับเขาครั้งหนึ่ง และคืนนั้นดีกรีของเหลวในร่างคงเบาบางไปหน่อย ทำให้นอนไม่หลับทั้งคืน ต้องรอให้เขาตื่นออกไปกินมื้อเช้า นั่นแหละจึงหลับลงได้

                ที่พักของเราคืนนี้เป็นเกสต์เฮาส์มีชื่อของเมืองน่าน อาคารไม้ 2 ชั้น รูปทรงมีเสน่ห์เก๋ไก๋ ผมจองทางอินเทอร์เน็ตระหว่างที่รอเพื่อนขับรถไปรับที่สนามบิน ห้องพักที่จองไว้เป็นห้องใหญ่สำหรับครอบครัว มี 3 เตียง จุดประสงค์ก็เพื่อรักษาระยะห่างทางเสียง แต่พอไปถึงเกสต์เฮาส์ก็พบว่ามีคนฉกฉวยห้องนั้นไปแล้ว เหลือเพียงห้องเตียงใหญ่ 1 เตียง และเตียงเสริม 1 เตียง เพื่อนของผมอาสานอนเตียงเสริม ผมกำชับเขาว่าห้ามนอนก่อนผมหลับเป็นอันขาด เขารับปากฉับไว

                โชคดีของผมที่คืนนี้รับดีกรีของเหลวเข้าไปในปริมาณเหมาะสมจึงหลับลงได้ไม่ยาก แม้ว่าสุดท้ายจะตื่นขึ้นเพราะเสียงคล้ายเรือหางยาวที่ดังมาจากเตียงเสริม แต่นั่นก็เป็นเวลาเกือบ 9 โมงเข้าไปแล้ว

                เราออกจากเกสต์เฮาส์ราว 11 โมง แวะร้านล้างรถชื่อ “อ๊อดมันวาว” เพื่อนของผมเคยนำรถ Porsche Cayenne S ของเขามาล้างระหว่างท่องเที่ยวกับครอบครัวเมื่อเดือนก่อน จนรู้จักกับเจ้าของชื่อพี่อ๊อดและภรรยาของพี่อ๊อด วันนี้คู่รักอาสาพาเราไปกินขนมจีนน้ำเงี้ยวที่ร้านค่อนข้างลึกลับแห่งหนึ่ง ชื่อ “บ้านป้าปีน” เป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูง และใต้ถุนนั้นก็คือร้านของป้าปีน


พระอุโบสถทรงล้านนาประยุกต์ วัดภูเก็ต อำเภอปัว จังหวัดน่าน

 

                เพื่อนของผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ขนมจีนน้ำเงี้ยว ยกให้ฝีมือของป้าปีนไม่เป็นสองรองใครในบรรดาคนทำขนมจีนน้ำเงี้ยว เขาชมว่าอร่อยทั้งต่อหน้าและลับหลัง ขณะที่กำลังเขียนคอลัมน์อยู่นี้ผมลองเสิร์ชดูที่ตั้งของ “ป้านป้าปีน” ในแผนที่กูเกิล แต่ไม่พบ จำได้ว่าซอยอยู่ตรงข้ามเทสโก้โลตัส เข้าซอยไปราว 200-300 ร้อยเมตร มองเผินๆ จากภายนอกอาจดูไม่ออกว่าเป็นร้านขนมจีนน้ำเงี้ยว มีป้ายเล็กๆ เขียนไว้แค่ว่า “บ้านป้าปีน ๒๙” ถามคนแถวนั้นคงรู้จัก แต่ต้องรีบไป อย่าให้เกินบ่าย เพราะหมดไวทุกวัน

                บ่ายโมงนิดๆ เราแยกกับอ๊อดมันวาวและภรรยา วิ่งไปบนถนนหมายเลข 1169 ถนนตัดผ่านตัวชุมชนของอำเภอภูเพียง ค่อยๆ ขึ้นเขาไปสู่อำเภอสันติสุข แวะดื่มกาแฟชมวิวที่ร้าน “เดอะวิว @กิ่วม่วง” ผมตัดสินใจเปลี่ยนแผนจากเดิมที่วางไว้จะไปอำเภอบ่อเกลือ (อำเภอทางด้านขวาสุดในแผนที่ภาคเหนือ ติดกับพรมแดน สปป.ลาว) เป็นเป้าหมายใหม่ “อุทยานแห่งชาติดอยภูคา” อำเภอปัว

                เราวิ่งเส้น 1081 มุ่งหน้าตัวอำเภอปัว แวะเข้าจอดในลานจอดรถวัดภูเก็ต วัดแห่งนี้ผมไม่เคยมาเยือนทั้งที่เดินทางมาอำเภอปัวแล้วตั้ง 4 ครั้งก่อนนี้ เพื่อนของผมของีบรอในรถ เพราะเจออิทธิฤทธิ์รวมฮิตบัลลาดวง The Rolling Stones ของผมเข้าไป

                มีหลายคนสงสัยที่มาของชื่อ “ภูเก็ต” รวมถึงชาวจังหวัดภูเก็ตที่เดินทางมาถึงวัดภูเก็ต แต่พอทราบว่าหมู่บ้านในละแวกวัดมีชื่อว่า “บ้านเก็ต” และวัดตั้งอยู่บนเนินเขา ซึ่งก็คือ “ภู” ในภาษาเหนือ เมื่อเชื่อมโยงได้ดังนี้ก็คงหายข้องใจ แต่ไม่วายมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากซักถามเอาคำตอบกับพ่อค้าแม่ค้าแถวๆ วัดอยู่ดี นับว่ามีประโยชน์ตรงที่ได้สนทนากัน และอาจลงเอยด้วยการซื้อสินค้าท้องถิ่นติดไม้ติดมือ


หลวงพ่อแสนปัว หรือ “หลวงพ่อพุทธเมตตา” ในพระอุโบสถวัดภูเก็ต

 

                วัดภูเก็ตเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยว เพราะขึ้นชื่อเรื่องทิวทัศน์ที่มองจากริมลานวัดไปทางทิศตะวันออก ด้านล่างคือ “ตูบ” ลักษณะเป็นกลุ่มเพิงหรือกระท่อม ชื่อว่า “ฮักนาไทลื้อ” กวาดระดับสายตาขึ้นไปคือทุ่งนากว้าง หากเป็นฤดูเพาะปลูกคงเขียวไสวหรือเหลืองอำไพน่าดูชม มีรีสอร์ตกลางทุ่งนาอย่างน้อย 2 แห่ง ฉากหลังคือดอยภูคาและท้องฟ้าสีน้ำเงิน

                ผมลงบันไดวัดทางด้านซ้าย เดินเลียบกำแพงวัดไปทางขวา ใช้สะพานข้ามลำธารเล็กๆ ไปยังตูบนา มีร้านขายเสื้อผ้า กาแฟ และของที่ระลึก ขอชิมกาแฟชื่อ “ฮักนากาแฟ” แบบเอสเปรสโซ กาแฟคั่วเข้ม แต่รสชาติไม่ขม กลับนุ่มหอม ผมจิบไปจิบมาจนหมดถ้วย แม้ว่าเพิ่งจะดื่มมาก่อนหน้านี้ไม่นาน พี่ผู้หญิงบาริสตาบอกว่าเป็นกาแฟออร์แกนิก ทำเองด้วยความใส่ใจทุกขั้นตอน ผมจึงซื้อเมล็ดกาแฟมา 1 ถุง บนห่อไม่ระบุน้ำหนัก คาดว่าประมาณครึ่งกิโลกรัม ราคา 250 บาท เพื่อนของผมมีทั้งเครื่องบดเมล็ดกาแฟและเครื่องทำกาแฟสดแบบพกพาใช้แบตเตอรี่ พรุ่งนี้เช้าจะให้เขาพิสูจน์


ชูชกกับนางอมิตดา ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดภูเก็ต

 

                มองจาก “ฮักนาไทลื้อ” ขึ้นไปบนลานวัด บัดนี้ลานวัดกลายเป็นหลังคาหรือชั้นดาดฟ้าของ “ภูเก็ตสนธยา เทมเพิลสเตย์” ออกแนวๆ โรงแรมธรรมะ มี 4 ชั้น ไว้สำหรับผู้มาพักได้ทั้งปฏิบัติธรรมและชมวิวงามยามเช้าตอนพระอาทิตย์ขึ้น รวมถึงได้สังเกตศึกษาวิถีชีวิตของชาวบ้านเก็ตระหว่างการพำนัก แว่วว่าหากมาเพื่อปฏิบัติธรรมก็จะไม่ต้องเสียค่าห้องพักในโรงแรมที่จัดได้ถึงระดับ 3 ดาวเลยทีเดียว นอกจากนี้แล้ววัดภูเก็ตยังมีโรงเรียนพระปริยัติธรรมอีกด้วย เปิดสอนตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึงปีที่ 6

                ผมแวะดื่มน้ำมะพร้าว 1 ลูก และซื้อ “ส้มสีทอง” ของดีเมืองน่านมา 1 กิโล จากแม่ค้าริมกำแพงวัดแล้วเดินขึ้นบันไดวัดไปกราบ “หลวงพ่อแสนปัว” พระประธานในอุโบสถ ภายในอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเขียนเล่าประเพณีในอดีตและเรื่องราวในพระเวสสันดรชาดก ภาพเขียนที่ออกมามีความตื้น-ลึก คล้ายภาพ 3 มิติ

                เราออกเดินทางกันต่อโดยแวะตัวอำเภอปัวเพื่อซื้อข้าวของที่จำเป็นสำหรับการอยู่กินบนดอย 1 คืน จากตัวอำเภอปัวถึงที่พักบนอุทยานแห่งชาติดอยภูคาระยะทาง 25 กิโลเมตร เส้นทางชันและคดเคี้ยว โชคดีที่ถนนสภาพดี แต่โชคร้ายก็เกิดขึ้นเมื่อเหลืออีกประมาณ 5 กิโลเมตรก่อนถึงที่ทำการอุทยาน

                รถยนต์ Porsche Cayenne S ของเพื่อนผมมีปัญหาเสียงสั่นแปลกๆ ที่เครื่องยนต์ ไม่มีกำลังวิ่งต่อ จึงต้องจอดหน้าบ้านหลังหนึ่งริมถนนที่พ่วงสภาพการเป็นร้านขายของชำอีกอย่าง ผมเดินไปซื้อน้ำเปล่าและขออนุญาตคุณยายชาวไทลื้อสำหรับการจอดรถชั่วคราว คุณยายมีแมวตัวเมียอ้วนท้วนเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ ผมเรียกมาเกาคางนางก็เดินมาหาอย่างว่าง่าย


วิวจากลานวัดภูเก็ต หรือแท้จริงคือดาดฟ้าของโรงแรม “ภูเก็ตสนธยา เทมเพิลสเตย์”

 

                เพื่อนของผมเปิดโน้ตบุ๊กซึ่งเชื่อมต่อโปรแกรมไว้กับระบบของรถยนต์คันนี้ โปรแกรมบอกปัญหาที่เกิดขึ้นคือ Misfire หรือการจุดระเบิดไม่ครบสูบ คงเพราะตอนรถลงเนินเขาไม่ใช้เบรกล้อ แต่ใช้การถอนคันเร่งจนสุด ทำให้เครื่องยนต์ตื้อและหน่วงให้รถวิ่งช้าลงที่เรียกว่าการใช้ “เอแนจินเบรก” ผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้ เขาบอกว่าท้ายแล้วปัญหามาเกิดกับหัวเทียนหรือไม่ก็คอยล์ เขาโทรหาคนโน้นคนนี้ พูดถึงการนำอะไหล่ขึ้นมาจากน่านและกรุงเทพฯ รวมถึงถ่ายภาพเครื่องยนต์ให้ปลายสายได้ดู

                มีชายคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์มาซื้อของที่ร้านชำ พอทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก็เอ่ยปากกับผมว่าหากซ่อมรถไม่ได้ภายในเย็นนี้ก็สามารถไปนอนบ้านเขาได้ ดูเขาจะชวนจริงจัง “ให้ยายโทรหาผมนะถ้ารถวิ่งไม่ได้ บ้านผมอยู่ไม่ไกลหรอก มีห้องว่างห้องหนึ่งพอดี” ผมยกมือไหว้ขอบคุณและเริ่มคิดถึงเรื่องนี้ ขอซื้อเบียร์จากคุณยาย 1 กระป๋อง ปล่อยเพื่อนผมให้แก้ปัญหาตามอิสระ แล้วเดินสำรวจพื้นที่ยามแสงจากดวงอาทิตย์เริ่มน้อยลงทุกทีและอากาศก็เย็นลงเรื่อยๆ


ชุมชนบ้านเก็ตใกล้ๆ วัดภูเก็ต

                มีคนกลุ่มหนึ่งนั่งผิงไฟกันอยู่ พวกเขาแนะนำให้ผมเดินขึ้นเนินไปคุยกับครูในศูนย์การเรียนรู้ชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านน้ำย้อ-ขุนดิน เพื่อขอพักแรม

                “ถ้ามีเต็นท์ก็พักได้” คนหนึ่งในกลุ่มผิงไฟยืนยัน

                แต่เราไม่มีเต็นท์ เพื่อนของผมมีผ้าห่มอยู่ผืนหนึ่ง ส่วนผมไม่ได้เตรียมมาแม้ผ้าเช็ดตัว เกิดความลังเลที่จะขึ้นไปยังศูนย์การเรียนรู้ดังกล่าว หรือถ้าเรียกแบบบ้านๆ ก็คือโรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่ ลองเดินกลับไปหาเพื่อนอีกครั้งหนึ่งหากว่าปัญหาหนักหนาจริงๆ ก็น่าจะต้องพึ่งโรงเรียน และถ้าโรงเรียนไม่สะดวกก็คงต้องให้คุณยายกดโทรศัพท์ ถามคณะผิงไฟแล้ว ละแวกนี้ไม่มีรีสอร์ต เกสต์เฮาส์ หรือโฮมสเตย์ใดๆ ทั้งสิ้น


หญิงชราและวิฬาร์คู่ใจบนดอยภูคา

                เพื่อนของผมบอกว่ารถน่าจะคลานไปถึงที่ทำการอุทยาน ผมขอให้เขาลองดู เพราะถ้าจะเสี่ยงก็ควรต้องเสี่ยงตอนที่ฟ้ายังไม่มืด พลาดพลั้งกลางทางในเวลานี้เรายังเดินเท้าถอยกลับมาที่นี่หรือเดินขึ้นหน้าไปยังอุทยานได้

                ช่วงต้นเครื่องยนต์ยังมีเสียงสั่นอยู่ พอออกมาได้สักพักเขาบอกว่าน่าจะหายแล้ว แต่ยังไม่น่าไว้ใจ จึงขับไม่เร็วนัก จนมาถึงประตูทางเข้าที่ทำการอุทยาน จ่ายค่าเข้าอุทยานคนละ 40 บาท ค่ายานพาหนะ 30 บาท เจ้าหน้าที่วัดอุณหภูมิไม่มีไข้แล้วปล่อยเข้าไป ขับไปอีกราว 300 เมตรถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ผมโทรศัพท์มาเช็กก่อนหน้านี้แล้ว ไม่มีบ้านพักว่าง มีเฉพาะลานกางเต็นท์ที่เรียกว่า “ลานดูเดือน” เท่านั้น เราไม่มีเต็นท์มาจึงต้องจ่ายค่าเช่าเต็นท์ 405 บาท นอนได้ 3 คน เต็นท์ถูกกางไว้เรียบร้อยแล้ว ในนั้นมีฟูกเล็กๆ หมอน และถุงนอน

                เพื่อนของผมขับขึ้นเนินไปอีกราว 300 เมตรถึงลานดูเดือน มีอยู่ 2 ลาน ลานที่ถึงก่อนมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์อยู่ตรงกลาง เต็นท์อุทยาน 10 หลัง ที่เหลือเป็นเต็นท์ที่นักท่องเที่ยวนำมากางเอง ผมสำรวจหมายเลขเต็นท์ของอุทยานในลานแรกนี้ ไม่มีหมายเลขของเราทั้งที่ว่างทุกหลัง เพื่อนของผมขับไปจอดริมเนินลานที่ 2 ห่างไปราว 200 เมตร หมายเลขของเราอยู่ในนี้ และเต็นท์ที่เหลืออีก 9 หลังก็ล้วนว่างอีกเช่นกัน เพื่อนของผมผู้ทั้งกลัวผีและยังชอบเข้าสังคมหน้าเริ่มถอดสี มีเจ้าหน้าที่เดินมาพอดี เขาขอเจ้าหน้าที่ไปพักลานแรก เจ้าหน้าที่ท่านนั้นไม่พูดอะไร แปลความได้ว่า “เป็นที่รังเกียจ”, “ไม่น่าไว้ใจ” หรือ “อาจสร้างความรำคาญ” เราก็เลยยกข้าวของลงจากรถเดินเข้าสู่ความโดดเดี่ยวกลางลานกว้าง


ลานดูเดือน ลานกางเต็นท์บนอุทยานแห่งชาติดอยภูคา

                ไฟในเตาถ่านพกพาถูกจุดขึ้นเพื่อสู้กับความหนาว และทำมื้อค่ำแบบง่ายๆ เพื่อนของผมบอกว่า “พรุ่งนี้จะตื่นตี 5 ครึ่งมาต้มโจ๊ก บดเมล็ดกาแฟ และชงกาแฟ ความสูงที่ประมาณ 1,500 เมตร น้ำเดือดที่ 95 องศา กาแฟอร่อยแน่ๆ”

                อากาศที่หนาวเย็นเกินกำลังเสื้อหนาวที่เตรียมมาทำให้ผมนอนไม่หลับ ถุงนอนช่วยไม่ได้ และอุปสรรคใหญ่คือเสียงเครื่องเรือหางยาวในเต็นท์ พอผมลุกไปเข้าห้องน้ำ เรือหางยาวก็ตื่นและขอตามไปด้วย ก่อนนอนก็เป็นเช่นนี้ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ปวดฉี่ก็ตาม

                หลังเวลาตี 4 ผมคงหลับลงไปบ้าง เพราะความอ่อนเพลีย และเมื่อเห็นว่าแสงเช้าเริ่มทักทาย ผีสางนางไม้ก็คงเข้านอนกันแล้ว ผมหอบถุงนอนเดินออกไป มุดเข้าเต็นท์ไกลสุด ยังได้ยินเสียงเรือหางยาวจากทิศที่ผมจากมา เพียงแต่ว่าเบาพอเหมาะสำหรับกล่อมให้หลับลงไปได้.

แกลลอรี่


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"