'ลูกชายขุนนิรันดรชัย' สมาชิกคณะราษฎร แถลงขอพระราชทานอภัยโทษแทนบิดา กระทำมิบังควรต่อทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์


เพิ่มเพื่อน    

26 ธ.ค.63 - เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ห้องพินนาเคิล 1 - 2 โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล บางกอก พล.ท.สรภฎ นิรันดร บุตรชายของ พ.ต.เสวก นิรันดร หรือขุนนิรันดรชัย หนึ่งในสมาชิกคณะราษฎร 2475 สายทหารบก แถลงข่าวขอสำนึกผิดแทนบิดา ที่ได้กระทำการมิบังควรต่อทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาเป็นของตนเองโดยมิชอบ   

พล.ท.สรภฎ กล่าวว่า ขณะบิดามียศเป็น ร.ท. ได้ร่วมกับผู้บังคับบัญชา กระทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองในนามคณะราษฎร 2475 สายทหารบก ต่อมาเมื่อรับราชการเป็น พ.ต. บิดาได้ลาออก เนื่องจากคณะราษฎรแต่งตั้งให้ท่านเป็นนายกองก่อตั้งอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อสร้างอาคารบนสองฝั่ง ถ.ราชดำเนิน และท่านได้สร้างที่อยู่อาศัยของท่านเป็นตึก 4 ชั้น ตรงข้ามวังสวนจิตรลดา ปัจจุบันให้โรงเรียนเอกชนเช่า นอกจากนี้ บิดาได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการตรวจสอบพระคลังข้างที่กับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ตั้งแต่ปี 2475-2491 สมัยนั้นมี ส.ส.อุบลราชธานี อภิปรายถึงความไม่โปร่งใสของคณะกรรมการตรวจสอบพระคลังข้างที่ บิดากับพวกจึงจับ ส.ส.ท่านนั้น โยนน้ำหน้าตึกรัฐสภา ต่อมาบิดาได้ร่วมกับหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ก่อตั้งธนาคารนครหลวง กระทั่งบิดาได้เป็นประธานธนาคารนครหลวงในเวลาต่อมา  

พล.ท.สรภฎ กล่าวอีกว่า เรื่องสำคัญคือก่อนบิดาเสียชีวิต บิดาได้สำนึกในความผิดว่า ท่านเป็นข้าราชการทหาร แต่ท่านได้เสียน้ำพิพัฒน์สัตยาต่อพระมหากษัตริย์ สมัยที่ท่านเป็นกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ท่านได้ทำเรื่องบางเรื่องที่มิบังควร ท่านได้สั่งเสียต้องการขอพระราชทานอภัยโทษ แต่บิดาก็ไม่มีโอกาสได้เสียชีวิตไปก่อน ด้วยโรคความดันโลหิตสูง และอัมพาต เวลาผ่านมาตนได้ปรึกษาเรื่องนี้กับพี่ชายต่างมารดา ซึ่งบอกว่าเป็นโอกาสอันดีที่เราควรจะทำกัน แม้แต่นามสกุลก็เป็นนามสกุลพระราชทาน แต่พี่ชายก็ได้เสียชีวิตไปก่อน ตนเห็นว่าเวลานี้รั้งรอไม่ได้อีก เพราะบุตรของบิดาที่มีชีวิตอยู่ขณะนี้ 4 คน เหลือตนเพียงคนเดียวที่ยังพอมีแรงทำได้ คนอื่นนั่งรถเข็นหมด จึงต้องทำตามความประสงค์ของบิดา ขอทำหน้าที่ตามที่ได้สั่งเสียไว้ก่อนเสียชีวิต   

จากนั้น พล.ท.สรภฎ ได้ทำพิธีขอพระราชทานอภัยโทษต่อหน้าพระบรมรูปและพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.7, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ร.8, และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ร.9 โดยกล่าวทั้งน้ำตาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ว่า “ข้าพเจ้า พล.ท.สรภฎ นิรันดร กราบขออภัยแทนบิดาคือ พ.ต.เสวก นิรันดร คณะราษฎร 2475 ซึ่งไม่มีโอกาสแล้ว ผมขอทำหน้าที่แทน พระราชทานบรมราชานุญาตต่อล้นเกล้าทั้ง 3 พระองค์ ขอพระราชทานอภัยโทษ ทั้งนี้ เพื่อวิญญาณของของคุณพ่อผม ขุนนิรันดรชัย จะได้ไปสู่สุขคติ และความเป็นสิริมงคลจะได้นำมาสู่ครอบครัวตระกูลนิรันดร”  

ต่อมา พล.ท.สรภฎ แถลงข่าวต่อด้วยว่า สิ่งที่อยากบอกคือ สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่คู่กับประเทศไทยมานาน อยากให้เยาวชนศึกษาประวัติศาสตร์ให้ถ่องแท้ ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ร่วมสร้างบ้านเมืองมาตั้งแต่อดีต ย้อนไปช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยแพ้สงคราม กองทัพสัมพันธมิตรเข้าสู่ประเทศไทยเต็มไปหมด ด้วยพระบารมีล้นเกล้า ร.8 ท่านเป็นประธานสวนสนามต่อกองทัพพันธมิตร ซึ่งเป็นเกียรติประวัติแก่ประเทศไทย และอยากให้เยาวชนยึดถือพระราชดำรัสล้นเกล้า ร.9 ว่าการรับรู้สื่อต่างๆ ควรใช้สติรู้คิดปัญญารู้ตัว อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ เพราะเยาวชนเป็นอนาคตของประเทศ ซึ่งต้องดูแลและรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ และรักษาบ้านเมืองไว้ตราบชั่วฟ้าดินสลาย  

ผู้สื่อข่าวถามถึงการแถลงข่าวในครั้งนี้ มีนัยอื่นถึงความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติของคณะราษฎร 2475 หรือไม่ พล.ท.สรภฎ ระบุว่า เป็นเรื่องเฉพาะตัว บิดาเป็นหนึ่งในคณะราษฎร สำนึกผิดก่อนเสียชีวิตในการกระทำ วันนี้ถ้าดวงวิญญาณของบิดารับรู้คงไปสู่สุคติ ตนได้ทำหน้าที่แทนบิดา และไม่สามารถตอบแทนคณะราษฎรหรือลูกหลานคณะราษฎรคนอื่นได้ อย่างไรก็ตาม จากที่มีโอกาสคุยกับบุตรของคณะราษฎรบางคน ก็รู้สึกสำนึกผิด และอยากขอพระราชทานอภัยโทษเช่นกัน แต่ไม่มีโอกาส          

เมื่อถามถึงกรณีผู้ชุมนุมราษฎร 2563 เสนอปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์มองอย่างไร พล.ท.สรภฎ มองว่า เยาวชนมีความรักต่อสถาบัน แต่การแสดงออกของเขาในรูปแบบต่างๆ ตนก็ไม่เข้าใจ เพราะเขาเป็นอนาคต ที่ต้องรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ดำรงอยู่ต่อไป ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ยังมีสถาบันพระมหากษัตริย์หลังการแผ่อิทธิพลของจักรวรรดินิยม  

ถามถึงการฟ้องร้องคดีเกี่ยวกับมรดกของครอบครัวเมื่อปี 2561 ต่อศาลแพ่ง มีผลเป็นอย่างไร พล.ท.สรภฎ กล่าวว่า ภายหลังได้ถอนฟ้องแล้วในปี 2562 เนื่องจากพูดคุยเข้าใจกัน เป็นพี่น้องกันก็ถอนฟ้องหมด  

และถามว่าในอนาคตจะมีการคืนทรัพย์สินกลับไปหรือไม่ นายสรภฎ กล่าวว่า ควรจะกลับไป แต่ของที่กลับไปต้องบริสุทธิ์ผ่องใส เรื่องที่ดินจะกลับไปตนไม่ขัดข้อง แต่ต้องถามความเห็นของหลานๆ ส่วนตนแม้แต่ชีวิตก็สละได้                 

ทั้งนี้ ภายหลัง พล.ท.สรภฎ แถลงข่าวเสร็จสิ้น ได้พูดคุยเพิ่มเติมกับนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย ม.รังสิต ที่เดินทางมาติดตามการแถลงข่าวและให้กำลังใจ โดย พล.ท.สรภฎ ระบุว่า คุณพ่อเสียตอนตนอายุ 14 ปี รู้เรื่องการเมืองและคณะราษฎรจากคุณแม่ ซึ่งจะรู้การเมืองเยอะ ตนทราบหลายเรื่องจากที่คุณแม่ถ่ายทอดให้ฟัง บางเรื่องไม่สามารถถ่ายทอดต่อสาธารณะได้เพราะเป็นในทางลบ จะเสียหายไม่ถูกต้อง ซึ่งมีเหตุผลอย่างยิ่งที่พ่อสำนึกผิด พ่อบอกทำอะไรไว้หลายประการไม่ถูกต้อง จึงอยากขอพระราชทานอภัยโทษ แต่บั้นปลายท่านไม่มีโอกาสแล้ว เพราะเป็นอัมพาต ได้แต่นอนร้องไห้ บอกที่ท่านเป็นอย่างนี้เพราะท่านถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ทำไม่บังควรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์.

  


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"