ภาค7ฟันตำรวจพันขนต่างด้าว


เพิ่มเพื่อน    

 

"นายกฯ" มอบ "บิ๊กป้อม" คุมทีมทลายขบวนการลักลอบนำเข้าแรงงานผิด กม. กำชับต้องสาวถึงผู้บงการเบื้องหลัง "มท.1" เผย ก.แรงงานเตรียมชง ครม.ขึ้นทะเบียนต่างด้าวชั่วคราวบัตรสีชมพู แก้นายจ้างผวาโทษลอยแพนอกพื้นที่ "ผบ.ตร." ลั่นฟันไม่เลี้ยง ตร.เอี่ยวขนแรงงานเถื่อน หลัง บช.ภ.7 พบ "พ.ต.อ.-3ประทวน" พัวพันสั่งย้ายพ้นพื้นที่ พร้อมพักราชการ "ด.ต." 1 ราย "สุไหงโก-ลก" รวบ 11 เมียนมาลอบข้าม ปท.

    เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าการตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิเศษเอาผิดขบวนการลักลอบแรงงานผิดกฎหมายว่า ได้มอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีดำเนินการในเรื่องดังกล่าว เบื้องต้นได้รับรายงานด้านการข่าว ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ แต่ยังไปไม่ถึงผู้อยู่เบื้องหลัง จึงขอให้มีการสอบสวนต่อเพื่อสาวถึงผู้อยู่เบื้องหลังมากกว่าการจับเป็นรายๆ ไป ซึ่งตอนนี้มีผู้ส่งข้อมูลเข้ามาให้จำนวนมาก ทั้งทางโซเชียลมีเดียและขอความร่วมมือประชาชนส่งข้อมูลมาให้ แต่ขอให้อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง เราต้องกำจัดคนไม่ดีออกให้ได้
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้ต้องให้กำลังใจตำรวจ ทหาร ข้าราชการพลเรือน โดยเฉพาะช่วงปีใหม่ที่จะต้องทำงานหนัก อะไรที่จะลดภาระได้ก็ขอให้ช่วยกัน อย่าทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย ในช่วงที่ทุกคนมีความสุข ไม่อยากให้มีการเผชิญหน้ากัน สถานการณ์โลกเป็นแบบนี้ การแพร่ระบาดของโควิดเป็นทั่วโลก ต้องแก้ปัญหาร่วมมือกันให้ได้ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง
    "การไม่ล็อกดาวน์ช่วงปีใหม่ ถ้าควบคุมได้ก็ไม่มีปัญหา ขึ้นอยู่กับจะควบคุมได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งหลายอย่างเริ่มดีขึ้น ข้อสำคัญจะต้องไม่ออกนอกพื้นที่ ขอร้องไปแล้ว วันนี้ยังไม่มีการนำแรงงานไปปล่อยทิ้ง และแรงงานจะต้องอยู่ในพื้นที่ควบคุมที่ระบุไว้ โดยเจ้าหน้าที่จะต้องดำเนินอย่างเข้มแข็งเด็ดขาด" นายกฯ กล่าว
    ส่วน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวชั่วคราวบัตรสีชมพู เพื่อแก้ไขปัญหาแรงงานหลบหนีหรือนายจ้างทิ้งนอกพื้นที่ว่า การดำเนินการมีหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อดำเนินการให้ในทางกฎหมายให้แรงงานต่างด้าวเหล่านี้สามารถอยู่ในแผ่นดินไทยและทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งต้องมีขั้นตอนการตรวจโรคโควิด-19 ก่อน เพื่อความปลอดภัยด้วย
    “คาดว่ากระทรวงแรงงานในฐานะเจ้าภาพจะรวบรวมข้อเสนอและขั้นตอนปฏิบัติสำหรับแต่ละหน่วยงานว่าควรทำอย่างไรบ้าง ให้แล้วเสร็จ และเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) 29 ธ.ค.นี้ แต่ระหว่างนี้ได้แจ้งให้แต่ละโรงงานสำรวจปริมาณแรงงานต่างด้าวที่จะขึ้นทะเบียนทั้งหมด เพื่อเตรียมการเบื้องต้น และขอไม่ให้เคลื่อนย้ายแรงงานเด็ดขาด เบื้องต้นอาจใช้แนวทางให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดำเนินการที่โรงงานเลย” พล.อ.อนุพงษ์กล่าว
    รมว.มหาดไทยกล่าวว่า ขอความร่วมมือแรงงานอย่าตื่นตระหนก และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้วย เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปด้วยดี อีกทั้งเมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว จะได้มีฐานข้อมูลตัวเลขแรงงานต่างด้าวอย่างชัดเจน และจะสามารถบังคับให้ปฏิบัติตามข้อกฎหมายได้
    ขณะที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการกวาดล้างขบวนการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้ามาในประเทศมาตลอด โดยวันที่ 25 ธ.ค. ทางกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 จะมีการแถลงผลการสอบสวนทางวินัยข้าราชการตำรวจที่ถูกร้องเรียนกล่าวหามีส่วนเกี่ยวข้อง
ฟัน ตร.เอี่ยวแรงงานเถื่อน
    "กระบวนการนำเข้าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือไม่ เราต้องรีบจัดการ จะต้องไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายข้ามแดนและจัดการเด็ดขาด นายกฯ ก็พูดมาแล้วชัดเจน ใครผิดต้องลงโทษ และได้มอบให้พล.อ.ประวิตรเป็นผู้รับผิดชอบภาพรวม ใช้กำลังทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการหาข่าวและจัดการ ขอให้เข้าใจว่าใครผิดเราไม่เอาไว้ ไม่ใช่เฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ใครก็ตามที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องดำเนินการทั้งหมด ในเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีลงมากำกับดูแลด้วยตัวเอง เชื่อว่าไม่มีใครใหญ่ไปกว่านี้ ต้องดำเนินการถึงที่สุด" พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าว
    ถามว่า นอกจากตำรวจภาค 7 ที่ถูกร้องเรียนแล้วมีภาคอื่นด้วยหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า ตอนนี้ดูทุกพื้นที่เน้น 10 จังหวัดภาคตะวันตก แต่ตอนนี้มีข่าวเจ้าหน้าที่ด้านตะวันออกไปเกี่ยวข้องด้วย ส่วนข้อมูลคนต่างด้าว 2-3 วันที่ผ่านมาได้นำรถโมบายของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไปตรวจภาพใบหน้าและลายนิ้วมือ เพื่อเก็บข้อมูลแรงงานที่ตลาดกุ้งลงในระบบไบโอเมทริกส์ของ ตม. และจะทำไปเรื่อยๆ จนครบจำนวน และได้นำเรียนนายกฯ ไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะเข้ามาผิดหรือถูก เราจะขึ้นทะเบียนทั้งหมด และหารือกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน เพื่อทำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของแรงงาน จะทำให้เราสามารถกำกับดูแล มีข้อมูลที่ถูกต้องของแรงงานที่อยู่ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเข้ามาด้วยวิธีการใดก็ตาม
    "ขณะนี้หน่วยงานรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยากทำความเข้าใจกับพี่น้องแรงงานต่างชาติ ว่ารัฐบาลมีความจริงใจในการดูแล โดยเฉพาะปัญหาโควิด หมายถึงว่าใครก็ตามที่อยู่ในประเทศ เราจะเข้ามาผิดหรือถูกนั้นเป็นอีกเรื่อง การปราบปรามจะเน้นไปที่เรื่องการนำเข้า ไม่ใช่เน้นตัวแรงงานที่อยู่ผิดกฎหมาย ช่วงนี้อยากทำความเข้าใจกับแรงงานต่างชาติ ขอให้อยู่นิ่งๆ เจ้าหน้าที่จะไม่ไปยุ่งกับท่าน แต่ขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เราต้องการจัดการการเคลื่อนย้ายเพื่อให้การแพร่ระบาดของโรคน้อยที่สุด" ผบ.ตร.ระบุ
    ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี พล.ต.ต.กษณะ แจ่มสว่าง รอง ผบช.ภ.7 เป็นประธานแถลงข่าวการป้องกันปราบปรามแรงงานต่างด้าว ร่วมกับ พล.ต.ต.วรณัน สุขเจริญ ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี และ พ.ต.อ.พงษกร อุปพงษ์ รอง ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
    พล.ต.ต.กษณะกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังกวาดล้างแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายมาตั้งแต่เดือน เม.ย.2563 ถึงปัจจุบัน สามารถจับกุมรวมทั้งสิ้น 637 ราย และจับกุมบุคคลผู้ให้ที่พักพิงหรือให้การช่วยเหลือแรงานต่างด้าวที่ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย จำนวน 50 ราย รวมทั้งขยายผลจับกุมการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักรได้ของกลางเป็นเฮโรอีนน้ำหนักรวม 77 กิโลกรัม ยาไอซ์ น้ำหนักรวม 1,385 กิโลกรัม และเคตามีน มีน้ำหนักรวม 500 กิโลกรัม
    รอง ผบช.ภ.7 กล่าวว่า ในส่วนข้าราชการตำรวจที่ถูกร้องเรียนมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการลักลอบเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวโดยผิดกฎหมาย บก.ภ.จว.กาญจนบุรี ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงข้าราชการตำรวจยศ พ.ต.อ. จำนวน 1 นาย ปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งปรับย้ายออกนอกพื้นที่ไปแล้ว รวมทั้งตำรวจยศ ด.ต. จำนวน 1 นาย ก็มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง โดยพบมีมูลกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง และมีคำสั่งให้พักราชการไปแล้ว
    นอกจากนี้ ยังมีข้าราชการตำรวจในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 3 นาย ที่ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และมีมูลกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง จึงได้มีคำสั่งแต่งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง และมีคำสั่งปรับย้ายออกนอกพื้นที่ไปแล้ว
จับเมียนมาลอบข้ามแดน
    วันเดียวกัน พล.อ.อ.สุทธิพันธุ์ ต่ายทอง รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมคณะ ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานตามมาตรการคัดกรองโรคโควิด-19 ที่ด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว อำเภอเมืองฯ จังหวัดหนองคาย โดยเน้นย้ำทุกคนที่เดินทางกลับประเทศ ต้องผ่านการคัดกรองจากเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศจังหวัดหนองคาย ผ่านขั้นตอนการเข้าเมืองจากด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคายและด่านศุลกากรหนองคาย, จัดทำทะเบียนประวัติและรับฟังคำชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำไปยังสถานที่กักตัวที่จังหวัดหนองคายได้จัดเตรียมไว้ ซึ่งเป็นโรงแรมในเขตอำเภอเมืองหนองคาย โดยจะมีเจ้าหน้าที่ในการดูแลและส่งตัวกลับภูมิลำเนาหลังผ่านการกักตัวเป็นระยะเวลา 14 วัน  
    เช่นเดียวกับ พ.ท.ปรเมธ ศานุพงศ์ ผบ.ร.25 พัน.1 กองกำลังเทพสตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลบริเวณฐานปฏิบัติการ พร้อมรับฟังรายงานผลการปฏิบัติหน้าที่ และกำชับให้กำลังพลทุกนายยึดถือปฏิบัติในการสกัดกั้นการหลบหนีเข้าประเทศโดยผิดกฎหมายตามช่องทางธรรมชาติ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด โรคไวรัสโควิดจากประเทศเพื่อนบ้าน และเป็นการป้องกันปราบปรามการกระทำสิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ พร้อมมอบหน้ากากอนามัยและเงินบำรุงขวัญในการปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา บริเวณตำบลปากจั่น ตำบล จ.ป.ร. อ.กระบุรี จ.ระนอง เขตติดต่อกับ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร
    พ.ท.ปรเมธยังได้ลงพื้นที่ตรวจสอบเส้นทางธรรมชาติตามแนวชายแดน พร้อมทั้งกำชับให้กำลังพลทุกนายปฏิบัติหน้าที่ประจำจุดเสี่ยงและการลาดตระเวนอย่างเคร่งครัดเข้มแข็งตลอด 24 ชั่วโมง  เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของผู้บังคับบัญชาที่สั่งให้จัดกำลังพลสกัดกั้นการลักลอบหลบหนีเข้าประเทศโดยผิดกฎหมายตามแนวชายแดน
    จ.นราธิวาส นายรุ่งเรือง ธิมาบุตร นายอำเภอสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กองกำลัง 3 ฝ่าย ขณะนั่งรถยนต์ลาดตระเวนเพื่อสกัดกั้นแรงงานต่างด้าวลักลอบข้ามแดนตามช่องทางข้ามธรรมชาติในพื้นที่รับผิดชอบ ริมแม่น้ำสุไหงโก-ลก เมื่อถึงบริเวณช่องทางข้ามธรรมชาติบ้านกวาลอซีลา ม.7 ต.ปาเสมัส ซึ่งเยื้องกับสำนักงานขนส่ง จ.นราธิวาส สาขาอำเภอสุไหงโก-ลก พบแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา จำนวน 11 คน ที่หอบหิ้วกระเป๋าสัมภาระกำลังทยอยกันเดินขึ้นเรือรับจ้างข้ามฟากของประเทศมาเลเซีย เจ้าหน้าที่จึงได้จอดรถยนต์และได้แสดงตัวเพื่อเข้าจับกุม ทำให้คนขับเรือยนต์รับจ้างข้ามฟากของประเทศมาเลเซียรีบขับเรือยนต์ข้ามฟากหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
    จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาทั้ง 11 คน ขึ้นมานั่งรวมกลุ่มกับที่บริเวณฝั่ง โดยได้ประสานไปยัง พ.ต.ท.อัสรี ต่วนเพ็ง รอง ผกก.สส.สภ.สุไหงโก-ลก, พ.ต.ต.สุเมธ กนกเหมพันธ์ สว.ตม.นราธิวาส, พ.ท.ทวีรัตน์ เบญจาทิกุล ผบ.ฉก.นราธิวาส 30, นายมะยุรี เจะโซะ สาธารณสุข อ.สุไหงโก-ลก เพื่อร่วมกันตรวจสอบ โดยเฉพาะการคัดกรองเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กลุ่มแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาอาจนำมาแพร่ระบาดในพื้นที่ ผลการตรวจสอบเบื้องต้นทั้ง 11 คนไม่มีหนังสือเดินทาง มีอุณหภูมิร่างกายปกติ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะนำตัวไปคัดกรองเป็นรายบุคคลอย่างละเอียดอีกครั้ง
    นายรุ่งเรืองกล่าวว่า จากการประเมินการจับกุมแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบข้ามแดนจากช่องทางธรรมชาติจากพื้นที่รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย หลายครั้งที่ผ่านมา หลังจากที่ไวรัสโควิด-19 ระบาดอย่างหนักในพื้นที่ประเทศมาเลเซีย กลุ่มนายหน้าของประเทศมาเลเซียจะเก็บเอกสารหลักฐานหนังสือเดินทางของกลุ่มแรงงานต่างด้าว ที่จะลักลอบเข้ามายังประเทศไทยไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงการติดตามสืบสวนสอบสวนจับกุมของเครือข่าย ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มขบวนการค้ามนุษย์ของทั้ง 2 ประเทศที่นำพากลุ่มบุคคลต่างด้าวเหล่านี้ลักลอบเข้ามายังประเทศไทย ที่เจ้าหน้าที่จะมีตรวจยึดโทรศัพท์มือถือของแรงงานต่างด้าวเหล่านี้นำไปตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ว่ามีความเกี่ยวโยงติดต่อประสานงานกับคนไทยคนใดในการติดตามจับกุมมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"