ใช้สภาบี้ตร.ทบทวนคดี112


เพิ่มเพื่อน    

 

"บิ๊กตู่" ลั่นคนไทยต้องมองผลประโยชน์ชาติ ถ้าอยากจะอยู่ให้ดีขึ้น อย่าสร้างความขัดแย้ง ยันไม่เคยก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรม ด้าน “ผบ.ทสส.” สั่งเหล่าทัพ-ตร.สนับสนุน ภารกิจรัฐบาล เตรียมความพร้อมเสียสละเพื่อชาติ-ประชาชน  ปลูกฝังวัฒนธรรมและทัศนคติของกำลังพลให้มีค่านิยมในการรักชาติ
    เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวช่วงหนึ่งระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า ขอทุกคนมองประโยชน์ของประเทศชาติว่าอยู่ตรงไหน แล้วเราจะอยู่กันอย่างไรต่อไป ถ้าเราอยากจะอยู่แล้วให้มันดีขึ้นๆ ก็ต้องช่วยกัน สิ่งที่ดีๆ มันเยอะแยะไป อย่าไปขยายความขัดแย้งกันมากนัก เดี๋ยวก็ไปเรื่องโน้นเรื่องนี้กันเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ
    นายกฯ กล่าวว่า ในส่วนของการดำเนินคดีต่างๆ ก็เห็นกันแล้วว่าคดีในหลายๆ คดีเป็นเรื่องการพิจารณาของศาล ตนไม่ได้ไปสั่งหรือต้องเข้าไปสั่ง ถึงแม้จะมีการร้องทุกข์กล่าวโทษไปแล้ว ก็เป็นเรื่องของศาลที่ท่านจะพิจารณาว่าจะลงโทษหรือไม่ลงโทษ หลายคนก็ได้รับการพิจารณาว่าไม่มีความผิด ทีอย่างนี้ไม่เห็นพูดกันเลย แต่ไอ้คนผิดมันก็ต้องผิด ส่วนจะผิดมากหรือผิดน้อยก็ขึ้นอยู่กับศาลที่จะพิจารณาในเรื่องของความเป็นธรรม
    "นั่นคือกระบวนศาล กระบวนการยุติธรรมของเรา จะไปทำตามใจชอบใครไม่ได้ ผมไม่ได้ไปก้าวล่วงอำนาจศาลและกระบวนการยุติธรรมอย่างเด็ดขาด" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ตรวจเยี่ยมกองทัพบก โดยมีพล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และคณะผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกองทัพบกให้การต้อนรับ พร้อมรับการแสดงความเคารพจากกองทหารเกียรติยศและลงนามในสมุดตรวจเยี่ยม จากนั้น พล.อ.เฉลิมพลเป็นประธานการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อมอบนโยบายและข้อสั่งการงานด้านความมั่นคง พร้อมทั้งอวยพรปีใหม่และมอบของที่ระลึกเนื่องในเทศกาลปีใหม่
    พล.ท.เชาวลิตร สังฆฤทธิ์ โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย กล่าวว่า ผบ.ทสส.ได้สั่งการให้เหล่าทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติสนับสนุนรัฐบาลในทุกภารกิจ เตรียมความพร้อมเพื่อเสียสละเพื่อประเทศชาติและประชาชน รวมทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงเน้นย้ำกำลังพลให้ใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบในการรับฟังข้อมูลข่าวสาร หรือเพื่อป้องกันไม่ให้มีผลกระทบต่อความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติ พร้อมทั้งสั่งการให้ปลูกฝังวัฒนธรรมและทัศนคติของกำลังพล ให้มีค่านิยมในการรักชาติ และปฏิบัติตนอย่างมีระเบียบอย่างเคร่งครัด
    ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคร่วมฝ่ายค้านไม่ส่งคนร่วมเป็นคณะกรรมการสมานฉันท์ โดยอ้างว่าเนื่องจากรัฐบาลไม่จริงใจสร้างความปรองดองว่า รู้สึกเสียดายที่พรรคร่วมฝ่ายค้านไม่เข้าร่วม แนวทางดังกล่าวเป็นวิธีการแก้ปัญหาตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งหากเปิดเวทีแล้วไม่เข้าร่วมก็น่าเสียดาย ที่ผ่านมายืนยันว่ารัฐบาลมีความจริงใจในการแก้ปัญหา เพราะไม่ต้องการให้ประเทศเดินไปสู่ความขัดแย้งอีก บ้านเมืองเสียหายมามากแล้ว ไม่มีใครต้องการให้หวนกลับไปสู่ความขัดแย้งอีก อย่างไรก็ตาม แม้พรรคร่วมฝ่ายค้านจะไม่เข้าร่วม แต่คณะกรรมการสมานฉันท์ก็คงต้องเดินหน้าต่อไป
        ส่วนกรณีที่นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ระบุว่า แนวทางแก้ไขปัญหาคือแก้มาตรา 112 แต่รัฐบาลกลับใช้มาตรานี้ดำเนินการกับประชาชนนั้น นายธนกรมองว่าไม่ใช่ แต่จะเป็นการสร้างปัญหาที่หนักกว่าเดิมให้กับประเทศมากกว่า ที่สำคัญรัฐบาลไม่ได้ใช้มาตรา 112 กลั่นแกล้งใคร แต่คณะราษฎร จงใจกระทำผิดกฎหมาย มีการจาบจ้วงสถาบันอย่างรุนแรง จนคนไทยทั้งประเทศรับไม่ได้ ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายอันเดียวกัน กระบวนการยุติธรรมไม่สามารถละเว้นใครได้ ใครทำผิดก็ต้องรับโทษ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการปรองดอง
    ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม โดยในช่วงที่เปิดให้สมาชิกหารือนั้น นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล หารือไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)กรณีที่มีการออกหมายเรียกตามกฎหมายอาญามาตรา 112 กับนักศึกษา ประชาชน นักสิทธิมนุษยชน ไม่เว้นแม้แต่เยาวชนอายุ 16 ปี ในระยะ 1 เดือนเศษที่ผ่านมานี้มีคนโดนหมายเลขด้วยข้อหาตามมาตรา 112 แล้วเกือบ 40 คน
    จากการที่ออกหมายเรียกในคดีที่มีอัตราโทษรุนแรง คือจำคุกตั้งแต่ 3 ปี-15 ปี เป็นอัตราโทษที่เทียบกับฐานการเตรียมการก่อการกบฏและเป็นอัตราโทษที่เท่ากับการฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา อัตราโทษี่สูงเช่นนี้ ได้ร่วมเข้าฟังการสอบสวนในหลาย สน. พบว่าพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกโดยยังขาดน้ำหนัก มีความบกพร่อง ไม่มีองค์ประกอบของคดีที่ครบถ้วนชัดเจน เป็นการออกหมายเรียกโดยตีความเกินเลยไปจากกฎหมายมาก ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการแจกคดีเพื่อปิดปากประชาชนที่เห็นต่างจากรัฐบาล จากผู้มีอำนาจในปัจจุบันเพียงเพื่อสนองประกาศของนายกฯ เมื่อต้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมาว่าจะใช้กฎหมายทุกมาตราที่มีอยู่ มาใช้จัดการกับกลุ่มผุ้ชุมนุมที่ขับไล่ตน ทำให้ประชาคมโลกส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ รวมทั้งสำนักงานข้าหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติก็ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ประเทศไทยหยุดใช้มาตรา 112 กับผู้ชุมนุมประท้วงโดยสันติ และแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อการที่นำมาตรา 112 มาใช้กับผู้เยาว์ที่มีอายุเพียง 16 ปีด้วย
     “ดิฉันขอเรียกร้องให้ ผบ.ตร.ทบทวนท่าทีในการออกหมายเรียกผู้ต้องหาคดีตามมาตรา 112 ใหม่ ขอให้มีวิจารญาณรอบคอบกว่านี้ ?ควรออกหมายเรียกที่มีความชอบธรรม ไม่ควรสมยอมกับผู้มีอำนาจใช้กฎหมายกำจัดผู้เห็นต่าง และการทำเช่นนี้จะยิ่งสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชนไม่รู้จบ และไม่เป็นผลดีกับสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งจะทำให้มาตรา 112 เสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ลง” นางอมรัตน์กล่าว
    ที่ สน.ท่าพระ นายชูเกียรติ แสงวงศ์ หรือจั๊ด การ์ดภาคีเพื่อประชาชน เข้าพบ พ.ต.ท.กิติ กิจประชุม รอง ผกก.(สอบสวน) สน.ท่าพระ ตามหมายเรียกในคดี ม.112 หลังมีประชาชนเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ไว้ก่อนหน้านี้
         นายชูเกียรติกล่าวว่า ทราบมาว่านายอานนท์ กลิ่นแก้ว หัวหน้าการ์ด กปปส. เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจท่าพระในคดี ม.112 โดยนำรูปภาพคนสวมหมวกและหน้ากากอนามัย แต่งกายเลียนแบบศิลปินนักร้องดัง “จัสติน บีเบอร์” เดินพรมแดงที่ถนนสีลมมากล่าวหาว่าเป็นตน แต่ยืนยันไม่ใช่ตัวเองแน่นอน เพราะปกติจะเปิดหน้าสู้ตลอด อีกทั้งวันนั้นตนไปปิดท้ายงานแล้ว เนื่องจากติดกิจกรรมอยู่ที่ช่องเนชั่นทีวีย่านบางนา จึงเชื่อว่าเป็นการกลั่นแกล้ง และไม่ทราบว่าตำรวจเอาข้อมูลจากไหนมาเชื่อมโยงกัน เนื่องจากเป็นคนละท้องที่ คาดว่าไม่เกี่ยวกับการชุมนุมที่สถานีรถไฟฟ้าท่าพระเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่ต้องรอพบตำรวจก่อนจึงจะทราบรายละเอียด
    ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้ากลุ่มไทยภักดี และคณะ เดินทางยื่นหนังสือถึงนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยเสนอมาตรการป้องกันการเข้ามาแทรกแซงโรงเรียนและสถานศึกษา เพื่อใช้ครูและนักเรียนเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ อาทิ ศธ.ต้องมีนโยบายชัดเจนแก่ผู้บริหารทุกระดับของโรงเรียน ในการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ต้องไม่เปิดโอกาสให้กลุ่มการเมืองใช้โรงเรียนในการปลุกระดมจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ หากเกิดกิจกรรมทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ในโรงเรียน ควรต้องให้ผู้บริหารโรงเรียนรับผิดชอบ
         ด้านนายณัฏฐพล รับที่จะนำข้อเสนอดังกล่าวไปหารือกับผู้บริหารใน ศธ. เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินการต่อไป
    วันเดียวกัน สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแจ้งว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้องที่ นพ.วรงค์ ยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 จากกรณีเห็นว่า ส.ส.ผู้ถูกร้องทั้ง 19 คนได้แก่พรรคฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ยื่นญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต่อรัฐสภา แล้วประธานรัฐสภาบรรจุญัตติดังกล่าวเข้าสู่วาระการประชุมของรัฐสภาเมื่อวันที่ 17 พ.ย. โดยที่ประชุมลงมติขั้นรับหลักการในวาระ 1 วันที่ 18 พ.ย. เข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เนื่องจาก ส.ส.ใช้สิทธิ์ในฐานะ ส.ส.แต่ละคนเข้าชื่อยื่นญัตติฯ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 256 สำหรับประธานรัฐสภา เพียงทำหน้าที่บรรจุญัตติเข้าสู่วาระการพิจารณาของรัฐสภาตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เท่านั้น ไม่ใช่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"