22 ธ.ค. 2563 นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 และราคาน้ำมันโลกที่ผันผวน ต่อเนื่องจากปี 2563 สู่ปี 2564 ทำให้บางจากฯ ให้ความสำคัญกับกระบวนการทำงานที่กระชับ คล่องตัว ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ พร้อมปรับองค์กรเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด โดยได้ตั้งงบประมาณลงทุนในปี 2564 ไว้ที่ 23,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการลงทุนสำหรับธุรกิจน้ำมัน 15-16% ซึ่งเป็นการลงทุนทั้งขยายสถานีบริการน้ำมัน(ปั๊ม) งบสำหรับปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมัน และเตรียมการที่จะผลิตน้ำมันคุณภาพเกรดยูโร 5 และที่เหลือจะเป็นการลงทุนในธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ทั้งพัฒนาโรงไฟฟ้า และการเข้าซื้อกิจการใหม่ ๆ
ทั้งนี้ได้ตั้งเป้าทำกำไร(ก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย และค่าเสื่อมราคา) หรือ อีบิทดา(EBITDA) อยู่ที่ 15,000 ล้านบาท โดยเป็นเป็นกำไรจากโรงกลั่นน้ำมัน 30% และกำไรจากบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ที่เป็นบริษัทผลิตไฟฟ้า 40% กำไรจาก บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ที่เป็นบริษัทผลิตภัณฑ์ชีวภาพ 10% และกำไรจากสัดส่วนการขายในตลาด 20% ขณะที่ได้ตั้งเป้างบประมาณลงทุนช่วง 5 ปี จะอยู่ที่ 50,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการลงทุนในบีซีพีจี 60% โรงกลั่นน้ำมัน 20% การตลาด 15% และอื่น ๆ อีก 5% เนื่องจากมองว่าธุรกิจพลังงานไฟฟ้าเป็นธุรกิจที่ผันผวนน้อยและตอบโจทย์รักษ์โลก(กรีน)ตามวิสัยทัศน์ของบริษัท
“ในปี 63 นี้เราได้ทำการลีนองค์กรไปพอสมควรโดนยกเลิกการเข้าถือหุ้นในกิจกรรมต่าง ๆ ที่เห็นว่าไม่มีโอกาสทางธุรกิจ รวมถึงการถือหุ้นในเหมืองลิเธียมในประเทศอาร์เจนตินาและประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาของปีนี้เราสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 900 ล้านบาท ซึ่งปีหน้าก็ยังต้องติดตามสถานการณ์โควิดอย่างใกล้ชิด ถ้าอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ก็จะทำให้ธุรกิจเติบโตดีกว่าปีนี้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งต่อไปรายได้หลักของเราก็อาจจะมาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าสีเขียว”นายชัยวัฒน์ กล่าว
อย่างไรก็ตามยังได้มองถึงการพัฒนาตลาดไม่ใช่น้ำมัน(นอนออยล์)เพิ่มมากขึ้นโดยตั้งเป้าที่จะทำปั๊มให้เป็นจุดหมายมากกว่าทางผ่านโดยการร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรต่าง ๆ นำสินค้าและบริการเข้ามาลงทุนในพื้นที่ปั๊ม ขณะเดียวกันได้มีการพัฒนาร้านกาแฟอินทนิล และวางแผนเพิ่มสาขาอีก 180 สาขาในปีหน้า ขณะที่ยอดขายน้ำมันนั้นได้ตั้งเป้าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 5-6%
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่าบริษัทได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ท้องตลาด จากเดิมที่ผลิตน้ำมันพื้นฐานประเภทต่าง ๆ มาขยายเป็นผู้ผลิตน้ำมันที่มีคุณภาพสูงสุด สะอาด มีกำมะถันและไนโตรเจนต่ำ หรือ ยูซีโอ (Unconverted Oil) รายเดียวในประเทศไทย ส่งออกไปยังประเทศเกาหลีและญี่ปุ่น และในปีนี้ได้ขยายและปรับเปลี่ยนเพื่อให้ได้ความหลากหลายเพิ่มขึ้นอีก เช่น สารทำละลาย (โซเวนต์) ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีคุณสมบัติในการทำละลายและเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมสี ทินเนอร์ การผลิตเรซิน เพื่อทดแทนการกลั่นน้ำมันดีเซลที่ลดลง
อย่างไรก็ตามการดำเนินงานในบริษัท บีซีพีจี ได้เพิ่มทุนประมาณ 10,000 ล้านบาทไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งบางจากฯ ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ได้ใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนเต็มสัดส่วนเพื่อเสริมฐานะทางการเงินของบีซีพีจีให้มีความแข็งแกร่ง รองรับแผนขยายธุรกิจในอนาคต ในขณะที่บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ก็ได้ขยายธุรกิจสู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง ช่วยเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของประเทศ และในด้านของการนำเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)นั้น ยังเดินหน้าเตรียมเอกสารเช่นเดิมซึ่งกระบวนการเร็วสุดคาดว่าจะสามารถเปิดขายหุ้นครั้งแรก(ไอพีโอ) ได้ในช่วงปลายปี 64 หรือต้นปี 65 ซึ่งต้องทำการประเมินสภาวะตลาดด้วยเช่นกันก่อนจะเข้าเทรด
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |