'ณัฐวุฒิ' เปิดใจหลังพ้นคุก ลั่นยังเป็นคนเดิมแม้ถูกห้ามเคลื่อนไหวการเมือง


เพิ่มเพื่อน    

19 ธ.ค.63 - นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กว่า ยังเป็น ‘ณัฐวุฒิ’ คนเดิม ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครแล้ว เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 63 หลังถูกคุมขังในเรือนจำตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย. 63 คดีการชุมนุมหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์เมื่อปี 50 ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 2 ปี 8 เดือน ต่อมาได้รับการพักโทษกรณีมีเหตุพิเศษ จึงถูกคุมตัวไปติดกำไลอีเอ็มที่สำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 7 เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการปล่อยตัว

ณัฐวุฒิ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่มารออยู่หน้าสำนักงานคุมประพฤติหลังติดกำไลอีเอ็มว่า “วันนี้ผมได้รับการปล่อยตัวตามหลักเกณฑ์การพักโทษเป็นกรณีพิเศษของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งทราบว่ารายละเอียดหลักเกณฑ์และข้อพิจารณาต่างๆ ทางกรมราชทัณฑ์ได้ชี้แจงต่อสื่อมวลชนและต่อพี่น้องประชาชนไปแล้ว ทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้น

วันนี้เดินทางมาที่นี่เพื่อเข้าติดกำไลอีเอ็ม แล้วก็รับทราบเงื่อนไขการคุมประพฤติจากเจ้าพนักงานคุมประพฤติ เจ้าพนักงานก็ได้อธิบายทางเทคนิคเรื่องวิธีการใช้กำไลข้อเท้า(กำไลอีเอ็ม) เพราะจะมีรายละเอียดทั้งในแง่ของความปลอดภัย ทั้งในแง่ของการตรวจสอบสัญญาณต่างๆ ของตัวเครื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลรักษาให้ใช้งานไปได้ตลอดเงื่อนไขการต้องติดกำไลอีเอ็ม ขั้นตอนนี้เข้าใจกันเป็นอย่างดีนะครับ ทุกอย่างก็เรียบร้อย

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ท่านก็อธิบายเงื่อนไขของการอยู่ในหลักเกณฑ์การคุมประพฤติซึ่งก็จะมีเงื่อนไขหลักๆ อยู่ที่พื้นที่ในการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป ผมถูกกำหนดพื้นที่อยู่ในเขตจังหวัดนนทบุรีเป็นหลัก เนื่องจากว่าเป็นที่ตั้งของบ้านพักอาศัยตามสำเนาทะเบียนบ้าน ถ้าหากว่าจะออกนอกพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ก็คงจะต้องขออนุญาตเจ้าพนักงานเป็นกรณีไป

ส่วนถ้ามีกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่จะต้องอยู่นอกพื้นที่จังหวัดนนทบุรีเป็นปกติเดิมอยู่แล้ว ก็สามารถจะแจ้งเจ้าพนักงานคุมประพฤติประจำจังหวัดนนทบุรี เพื่อได้รับทราบ แล้วก็ขยายขอบเขตการคุมประพฤติออกไปได้ อย่างเช่น หลังจากนี้ ผมก็คงต้องเข้าไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลซึ่งเข้ารับการรักษาตัวอยู่ตามปกติ โรงพยาบาลอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างนี้ก็จะแจ้งเขาไว้ก่อนตั้งแต่วันแรก หรือว่ากิจกรรมของลูกๆ มีการเรียนพิเศษมีกิจกรรมอื่นใดก็ตามที่ผมจะใช้ช่วงเวลานี้อยู่กับครอบครัวไปรับไปส่งไปดูแลอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร หรือจังหวัดอื่นๆ ก็จะได้แจ้งทำความเข้าใจกันต่อไป ซึ่งหลังจากตรงนี้ ผมจะเดินทางไปที่สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดนนทบุรี ก็คงไม่รบกวนพี่น้องสื่อมวลชน เพราะเป็นขั้นตอนรายละเอียดว่าชีวิตประจำวันผมอาจจะมีความจำเป็นต้องออกนอกพื้นที่จังหวัดนนทบุรีประการใดอย่างไรบ้าง

นอกจากนั้น ก็เป็นเงื่อนไขการเข้ารับการฝึกอบรมซึ่งกรมคุมประพฤติก็กำหนดให้ผมเข้ารับการฝึกอบรมจริยธรรม ในที่นี้ก็คงจะเข้ารับการอบรมในหลักสูตรเรื่องพุทธศาสนา ก็ยังไม่ทราบรายละเอียด ยังไม่ทราบกำหนดการ ยังไม่ทราบรูปแบบของหลักสูตร ทางเจ้าพนักงานคุมประพฤติจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง

แล้วก็อีกเงื่อนไขหนึ่งก็คิดว่าจะใช้วาระนี้ได้อธิบายความและทำความเข้าใจกับทุกๆ ท่านผ่านสื่อมวลชนไปเสียเลย ก็คือ ด้วยความที่ผมเป็นผู้ต้องขังในคดีอันเกิดจากการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง

เงื่อนไขในการคุมประพฤติจึงมีข้อกำหนดสำคัญ ก็คือ ห้ามแสดงท่าที แสดงความคิดเห็น แสดงสัญลักษณ์ใดๆ ทางการเมือง แล้วก็ห้ามเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้กรอบระยะเวลาก็เป็นไปตามเงื่อนไขการคุมประพฤติ เมื่อไหร่ที่มีการถอดกำไลอีเอ็ม นั่นก็หมายความว่า สิทธิ เสรีภาพขั้นพื้นฐานในฐานะประชาชนโดยทั่วไปก็จะกลับมาโดยสมบูรณ์

แต่ว่าในเบื้องต้น ก็ต้องอธิบายความไปยังพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องสื่อมวลชนนะครับ คือผมก็ไม่ได้เป็นคนสลักสำคัญอะไร แต่ว่าเนื่องจากเพิ่งออกจากคุกมา พี่น้องสื่อมวลชนอาจจะอยากสนทนาด้วย อาจจะอยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นประเด็นนั้นประเด็นนี้ ก็เรียนไว้ตรงนี้ว่า ยังไม่สามารถปฏิบัติได้ ยังไม่สามารถให้ความร่วมมือได้นะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเมือง

แต่ว่า กิจกรรมอื่นๆ ในชีวิต สอบถามเจ้าหน้าที่เมื่อสักครู่ ท่านก็บอกว่า สามารถจะสื่อสารกับสังคมได้ เช่น ไปเดินจ่ายกับข้าว ไปเดินจ่ายตลาด หรือไปทำกิจกรรมอะไรก็ตามที่ไม่มีนัยยะทางการเมือง ก็สามารถที่จะปรากฏตัวผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค ปรากฏตัวผ่านช่องทางสาธารณะได้เฉกเช่นปุถุชนคนปกติทั่วไป

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เป็นประเด็นทางเทคนิคของการใช้กำไลอีเอ็ม ผมคิดว่าก็อาจจะเป็นข้อมูลความรู้สำหรับประชาชนโดยทั่วไปก็จะเล่าให้ฟังเสียด้วยก็คือ เมื่อติดกำไลนี้ ตัวผู้ติดอย่างเช่นผมก็ไม่สามารถจะเดินทางโดยเครื่องบินได้ เพราะว่าตัวกำไลเป็นระบบจีพีเอส ขึ้นเครื่องบินแล้วเกิดสัญญาณขาดหายก็จะเป็นปัญหา รวมกระทั่งไม่สามารถจะเข้าไปในบริเวณสนามบินได้ เพราะว่าเกรงว่าจะเป็นสัญญาณรบกวนกับระบบทางการบินและก็อาจจะเกิดผลกระทบ

ถ้ามีการไปปรากฏตัวในพื้นที่ที่อยู่นอกเงื่อนไข หรือว่าพื้นที่ที่สุ่มเสี่ยงจะเป็นอันตรายเป็นผลกระทบ เจ้าหน้าที่เขาก็บอกว่าจะมีสัญญาณเตือนหรือไม่ทางเจ้าพนักงานคุมประพฤติก็จะติดต่อโทรศัพท์มา ซึ่งผมก็แน่ใจว่าผมคงไม่ได้ไปทำอะไรผิดเงื่อนไขดังกล่าว นี่คือสาระที่ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่

-เสื้อตัวนี้ (เสื้อลิเวอร์พูล สีแดง) มีความหมายอย่างไรกับคุณณัฐวุฒิ

คำถามแรกเรื่องการใส่เสื้อตัวนี้ จริงๆ การออกจากเรือนจำก็ควรใส่เสื้อตัวใดตัวหนึ่งมาสักตัว เพียงแต่ว่าเสื้อตัวนี้ผมใส่ในวันที่เข้าไปอยู่ในเรือนจำ ดังนั้น ก็เป็นเสื้อตัวเดียวที่ติดไปจากข้างนอก วันนี้ก็ใส่ออกมา เพราะผมจำได้ว่า ก่อนที่จะเข้าเรือนจำ ผมได้ให้คำมั่นไว้กับพี่น้องประชาชนว่า ผมจะออกมาเป็นณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ คนเดิมที่แข็งแกร่งกว่าเดิมทั้งร่างกายและหัวใจ วันนี้จึงยืนยันคำนั้นครับ

ผมยังไม่สามารถจะแสดงความคิดเห็นหรือแสดงท่าทีใดๆ ทางการเมืองได้ แต่ผมแสดงความเป็นคนเดิม เป็นณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อย่างที่ท่านเคยรู้จัก เป็นณัฐวุฒิ ใสยเกื้อที่ร่างกายและหัวใจแข็งแกร่งกว่าเดิม กว่าเกือบ 6 เดือนที่ผ่านมาครับ

ในโอกาสนี้ก็ขอขอบพระคุณกระทรวงยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฯพณฯ สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตลอดจนบุคคลากรเจ้าหน้าที่ส่วนราชการทุกคนทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่มีส่วนพิจารณา มีส่วนดำเนินการ แล้วก็ดูแลผมในช่วงเวลาที่ไร้อิสรภาพ จนได้มายืนพบปะกับทุกท่านในวันนี้ กราบขอบคุณครับ

-หลังจากนี้มีโปรเจ็คอะไรเป็นพิเศษ

คงยังไม่สามารถจะประกาศโปรเจ็คอะไรเป็นพิเศษ เพราะอย่างที่เรียน วันนี้เพิ่งออกมาวันแรกแล้วก็ยืนให้สัมภาษณ์อยู่หน้าสำนักงานคุมประพฤติ เพราะฉะนั้น ก็เป็นการขับรถด้วยความระมัดระวังใช้เกียร์ต่ำ เพื่อให้ทุกฝ่ายสบายใจ แล้วจะได้ไม่กลายเป็นผมมายืนท้าทายกลไกคุมประพฤติหน้าสำนักงานเขา

แต่ว่า กิจกรรมหรือโครงการที่ได้ทำอยู่เดิม เช่น การส่งเสียลูกหลานนักเรียนผู้ขาดแคลนในโครงการด้วยรักและแบ่งปัน ซึ่งเวลานี้ก็ส่งเรียนให้จบปริญญาตรีดูแลอยู่เกือบ 60 คน ก็ยังทำกันตามปกติ

เสื้อ (ลิเวอร์พูล) ตัวนี้ ความจริงประมูลแล้วนะครับ ให้ทีมงานเขาประมูลเพื่อหาเงินทั้งหมดเข้าโครงการให้ลูกๆ หลานๆ ได้เรียนหนังสือก็คือเด็กที่อยู่ในโครงการ ไม่ใช่ญาติส่วนตัวนะครับ ก็มีผู้ประมูลไป 100,000 บาท แต่เขาบอกว่า เขาจะไม่เก็บไว้เอง จะให้ผมเก็บไว้ ผมก็เลยตั้งใจอยู่แล้วล่ะว่าอยากใส่เสื้อตัวนี้ในวันที่ได้รับอิสรภาพไม่ว่าจะวันหนึ่งวันใดก็ตามครับ

-ชีวิตในเรือนจำตลอดหลายเดือนมีความยากลำบากแค่ไหน

ก็เป็นชีวิตปกติที่เคยเข้าไปอยู่ในนั้นมาแล้ว 2 รอบนะครับ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 เพราะฉะนั้น ในเรื่องของการปรับตัวก็ไม่ได้เป็นปัญหา ต่างจาก 2 ครั้งแรกก็เพียงช่วงที่เข้าไป อยู่ในสถานการณ์ควบคุมการระบาดของโควิด-19 เพราะฉะนั้น 14 วันแรก ก็จะต้องอยู่ในแดนแรกรับที่จะต้องมีการกักตัว ประกอบกับผมมีคดีอื่นที่จะต้องถูกเบิกตัวมาศาลบ่อยๆ ทุกครั้งที่ออกมาข้างนอก มาขึ้นศาล กลับไปก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการกักตัว

นี่คือสิ่งที่แปลกไป แต่ก็สามารถที่จะปรับตัวและทำความเข้าใจกับมาตรการของเจ้าหน้าที่ได้

ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็เป็นไปตามเดิมครับ ผมเป็นศิษย์เก่าของเรือนจำอยู่แล้ว ดังนั้น จึงผ่านวันเวลามาด้วยความไม่ได้รู้สึกว่าจะเป็นความยากลำบากอะไรที่จะเกินทนทานรับได้ ที่ห่วงใยก็คือ ห่วงใยคนข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือกระทั่งเพื่อนมิตรพี่น้องผู้ร่วมอุดมการณ์ก็ตาม

เนื่องจากว่า การเข้าไปอยู่ในเรือนจำคราวนี้ ผมสูญเสียคุณพ่อนะครับ ตั้งแต่ในช่วงไม่กี่วันแรก ดังนั้น ก็นึกถึงคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคน 3 คนที่จะต้องเข้มแข็งและยืนหยัดต่อสู้ร่วมกันกับผมโดยไม่มีทางเลือกและโดยไม่มีเงื่อนไขที่จะปฏิเสธ ก็คือภรรยาและลูกๆ อีก 2 คน

หลังจากวันที่สูญเสียคุณพ่อไปก็คิดห่วงเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่ผมได้สัมผัสก็คือทั้งภรรยาและลูกๆ ได้ส่งมอบความเข้มแข็งให้กับผมอยู่เสมอ

ถ้าใครจะบอกว่า ผมพอจะเป็นนักต่อสู้ทางการเมืองได้คนหนึ่ง ผมก็บอกว่า คนแบบผมต้องเคารพ ต้องยกย่องหัวใจของภรรยากับลูกๆ จริงๆ เพราะว่า ตลอดชีวิต 10 กว่าปีของการใช้ชีวิตคู่ ผมไปอยู่ในเรือนจำเสียปีกว่าแล้ว แล้วก็ 3 คนแม่ลูกก็ยืนหยัดสู้เคียงข้างผมมาตลอด ก็ต้องขอขอบคุณไว้ตรงนี้

คงไม่ได้เป็นเรื่องดราม่าอะไรล่ะครับ เพราะว่าเวลาผมอยู่กัน 4 คนพ่อแม่ลูก ผมจะพูดกับพวกเขามากกว่านี้อีก

-กรณีแกนนำนักศึกษาโดยเฉพาะคนที่เคยเข้าไปในเรือนจำแสดงความขอบคุณณัฐวุฒิ

รับทราบครับ

-ตอนอยู่ในเรือนจำได้ให้ความช่วยเหลือแกนนำนักศึกษาหรือไม่ ให้ความช่วยเหลืออย่างไร

ก็น้องๆ ทุกๆ คนขณะนี้ก็เป็นแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง การจะบอกกล่าวถึงสิ่งที่ได้พบปะกันในเรือนจำ ผมก็ไม่แน่ใจว่า อาจจะมีบางคนบางท่านไปตีความว่า ผมกำลังแสดงความคิดเห็นหรือแสดงท่าทีทางการเมืองหรือเปล่า ก็เอาเป็นว่านั่นเป็นเรื่องราวบางบทบางตอนที่ชีวิตได้เจอกัน ส่วนเนื้อหาสาระหรือรายละเอียด เอาไว้ผมมีพื้นที่ของเสรีภาพมากกว่านี้ ถ้าจะได้เล่าให้ฟังก็คงจะใช้วาระนั้นครับ

-จะได้พบกับคุณจตุพร พรหมพันธุ์หรือไม่ จะมาพบกันไหม

ยังไม่ได้ติดต่อกับคุณจตุพร เพราะว่า ผมก็เพิ่งออกมาแล้วก็ส่วนใหญ่คงเป็น ‘ผู้เล่นสังกัดทีมชาตินนทบุรี’ เป็นหลักครับช่วงนี้ ถ้าจะไปกรุงเทพฯ ก็ต้องมีการขออนุญาตเป็นรอบๆ ไป ก็เข้าใจว่า เพื่อนมิตรพี่น้องบางส่วนคงติดภารกิจเรื่องกิจกรรมทางการเมืองอะไรกันอยู่ ถ้ามีเวลาก็คงจะได้พบปะกันเป็นเรื่องปกติ

-จะต้องติดกำไลอีเอ็มเป็นเวลานานแค่ไหน

กำหนดเวลาพ้นโทษของผมในขณะนี้ คืออยู่ที่ปลายเดือนมีนาคมปี 2564 อันนี้คือพ้นโทษ ดังนั้น ก็จะเหลือเวลาที่จะถูกจองจำ ถ้าอยู่ข้างในก็คือ 3 เดือนเศษๆ แต่ว่า เงื่อนไขในการจะถอดกำไลอีเอ็ม จะเต็มตามเวลานั้นหรือก่อนหน้าเวลานั้นหรือไม่อย่างไร อันนี้ผมยังสรุปเองไม่ได้ ก็คงดูกันต่อไปนะครับ

-สิ่งแรกที่จะไปทำ

ไปไหว้ดวงวิญญาณพ่อ ไปทำบุญ แล้วก็ไปตรวจสุขภาพ ใช้ชีวิตกับครอบครัว ติดตามข่าวสารบ้านเมืองตามปกติ

-จะเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัดหรือไม่

อยากกลับไป แต่ว่าต้องดูเงื่อนไขของทางกรม เพราะออกมาปั๊บจะเดินทางไกลได้เลยหรือไม่ แล้วเดินทางไกลก็ต้องโดยรถยนต์เพราะขึ้นเครื่องบินไม่ได้ ก่อนออกมาก็ยังไม่ทราบรายละเอียดพวกนี้ แต่พอทราบแล้วก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร ก็เคารพเงื่อนไขของทางกรม

(ทีมงาน)


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"