17 ธ.ค.63 - นายภัทร เหมสุข นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊กกล่าวถึงโครงการคนละครึ่งว่า บางครั้งการพูดความจริงไม่ถึงครึ่งนอกนั้นเป็นเรื่องที่ตั้งเป้าเพื่อดิสเครดิตเป็นเรื่องที่ออกแนวปัญญาอ่อนที่ไม่รู้ว่าโง่จริง หรือแกล้งโง่กับคนในระดับที่พรรคบางพรรคเลือกเข้าไปนั่งในสภา คือถ้าไม่รู้อะไรก็คววรศึกษาหาความรู้ก่อนพูด แต่ถ้ารู้แล้วยังพูดความจริงไม่ถึงครึ่งแล้วเป็นความเท็จมากกว่าความจริง ถือว่าเป็นการจงใจให้ข้อมูลที่เป็นเท็จแก่ประชาชนเพื่อหวังผลทางการเมือง
โครงการ "คนละครึ่ง" นั้นไม่ใช่สวัสดิการของรัฐเพื่อช่วยคนจนหรืออะไรทำนองนั้น เพราะคนจนรัฐบาลมีสวัสดิการให้ตลอดเวลาอยู่แล้ว อย่างเช่นโครงการบัตรคนจนหรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่รัฐก็ดูแลด้วยงบประมาณที่มากกว่าเสียอีกในปีหน้า 14.6 ล้านคน 4.95 หมื่นล้านบาท รวมถึงเงินเฉพาะกิจที่ให้กับผู้ถือบัตรแบบไม่มีข้อแม้อะไรในช่วงการระบาดของโรคในปีที่ผ่านมา และอีกโครงการคือ "เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ" และ "เบี้ยคนพิการ" ที่รัฐก็จ่ายให้เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายทุกเดือนอยู่แล้ว และวงเงินมากกว่าอีกด้วย แปดล้านกว่าคนรัฐต้องมีให้มากกว่าหกหมื่นล้านบาทในปีที่ผ่านมา ทั้งค่าน้ำค่าไฟ รัฐช่วยเหลือตามสมควร
แต่คนละครึ่งนั้นคือการล่อเงินออกมาจากกระเป๋าของคนที่มีกำลังซื้อโดยกลุ่มเป้าหมายคือคนชั้นกลางเพื่อจับจ่ายใช้สอยโดยรัฐเอาเงินล่อให้ควักกระเป๋าออกมาใช้จ่าย และกลุ่มของคนที่ได้รับเงินเอาไปหมุนต่อคือร้านค้าขนาดเล็ก ตลาดสด ตลาดนัด หรือแม้กระทั่งรถเข็น ให้ได้เงินในส่วนนี้ไป ร้านเจ้าสัวหรือห้างใหญ่ไม่ได้กินเงินนี้หรอก และสิ่งที่ซื้อก็ไม่ใช่ซื้อทีละมาก ๆ แต่เป็นการซื้อรายย่อยวันละไม่เกิน 150 บาทโดยรัฐจะออกเงินให้ทบเข้าไปอีกครึ่ง ดังนั้นเป็นการกระตุ้นให้เงินหมุนกันเองระหว่าชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อลงไปถึงคนรากหญ้าที่ค้าขายรายย่อย
แล้วมันคือสิทธิ์ที่ทุกคนควรได้ไหม ผมคิดว่ามันเป็นสิทธิ์ที่คนมีกำลังซื้อทุกคนควรได้ ซึ่งรัฐบาลก็ขยายกลุ่มของคนที่มีกำลังซื้อออกไปอีกเรื่อยๆ เป็นโครงการ 1-2-3.. ไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่มีกำลังซื้อได้สิทธิ์ไป ก็ทำให้เป้าหมายของการสร้างกระแสหมุนเวียนเงินจากกระเป๋าชนชั้นกลางลงไปข้างล่างของรัฐบาลฝืดลงจนหยุดเอาเสียเปล่า ๆ และอีกกรณีหนึ่งคนที่มีเงินมากกว่าคนชั้นกลางหรือคนที่พอมีจะกินไม่เดือดร้อนก็ไม่มีใครต้องการเงินก้อนนี้ เพราะมันน้อยเกินไปกับวันละร้อยห้าสิบบาทที่ได้มา แต่สำหรับคนที่ไม่มีกำลังซื้อได้สิทธิ์ไปก็ไม่ได้ใช้จ่ายให้เต็มที่เหมือนคนกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังจ่าย ดังนั้นการสะพัดของเงินตามที่ออกแบบมาคือดึงเงินจากกระเป๋าคนชึ้นกลางที่มีกำลังควักกระเป๋าลงไปที่คนชั้นล่างในระดับรากหญ้าให้หมุนเงินกันเองโดยรัฐเติมน้ำมันหล่อลื่นระบบให้เงินเดินไปได้คล่องกว่าปกติเท่านั้น
คราวนี้คงเห็นภาพกันแล้วว่าทำไม่รัฐบาลถึงล่อเงินจากการเป๋าคนอีกกลุ่มที่มีกำลังซื้อไปให้อีกกลุ่มที่เป็นรากหญ้าหรือร้านค้าขนาดเล็กเพื่อเกิดการหมุนเวียนที่มากกว่าที่จะอาเงินไปแจกฟรีแล้วเงินเกือบไม่ไหมุนไปไหนเลย เพราะโดนเจ้าใหญ่ดูดเอาเงินซื้อของครั้งละมากๆ ไปหมดแบบโครงการสาระพัดชื่อในครั้งก่อน
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |