ใกล้สิ้นปี 2563 แล้ว หากเรามองไปที่ปี 2564 ก็จะมีทั้งข่าวที่เริ่มให้ความหวังว่าเศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้นในระดับหนึ่ง เพราะวัคซีนอาจช่วยลดความรุนแรงของโควิด-19 ได้บ้าง
แต่ความไม่แน่นอนก็มีอยู่ในหลายระดับ จำเป็นต้องจับตาและติดตามแนวทางการวิเคราะห์จากหลายๆ สำนักและนำมาประเมินด้วยตัวเราเอง
เมื่อวานนี้ผมนำเสนอแนวทางวิเคราะห์ของ "ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" ที่น่าสนใจ ในประเด็นประสิทธิภาพของวัคซีนและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เราพึงคาดหวังได้
แต่อีกประเด็นคือ เศรษฐกิจเราจะฟื้นได้มากน้อยเพียงใดก็อยู่ที่อีกหลายมิติ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยบอกว่า เพราะความไม่แน่นอนจากปัจจัยต่างๆ มีสูง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจึงยังมีความจำเป็นที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง
โดยประเมินว่างบประมาณภาครัฐที่เหลือจาก พ.ร.ก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท รวมกับ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ราว 5 แสนล้านบาท น่าจะเพียงพอที่จะดูแลเศรษฐกิจ
อาจไม่ต้องก่อหนี้เพิ่มเติม
นั่นอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า จะไม่มีการแพร่ระบาดในประเทศอย่างรุนแรงจนต้องมีมาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง แปลว่าคนไทยต้องช่วยกันทุกหมู่เหล่าเพื่อไม่ให้มีการแพร่ Second Wave
ด้านนโยบายการเงิน คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงประเมินสถานการณ์เป็นระยะ
หากปรากฏสัญญาณลบของการฟื้นตัว คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังมีพื้นที่ในการลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมได้อีก 0.25%
หรือไม่ก็มีทางเลือกอีกทางคือ ลดเงินสมทบกองทุนฟื้นฟูฯ เพื่อนำไปสู่การลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์
แต่ทั้งนี้คงต้องดำเนินการควบคู่ไปกับนโยบายอื่นๆ ที่มีประสิทธิผลตรงจุดกว่า อาทิ Soft Loans และการค้ำประกันสินเชื่อโดย บสย.
โจทย์สำคัญอีกด้านหนึ่งคือภาคการเงิน
นั่นหมายถึงการดูแลเรื่องคุณภาพหนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ NPL พุ่งสูงเกินไป
ที่จะต้องดูแลเป็นพิเศษคือ ลูกหนี้ที่ได้รับมาตรการช่วยเหลือทางการเงินที่ยังมีจำนวนมากกว่า 1 ใน 4 ของพอร์ตสินเชื่อรวม ให้สามารถประคองการจ่ายหนี้ปกติได้ต่อเนื่อง
มาตรการผ่อนปรนเกณฑ์จัดชั้นหนี้ของ ธปท.คงทำให้ Reported NPLs ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย แม้จะเพิ่มขึ้นเข้าหา 3.53% ณ สิ้นปี 2564 จากระดับประมาณการที่ 3.35% ณ สิ้นปีนี้
ในภาวะเช่นปัจจุบันนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นระดับที่ไม่สูง
"ท่ามกลางสถานะทางการเงินของระบบธนาคารพาณิชย์ (ธ.พ.) ไทยยังแข็งแกร่ง โดยมีค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสูงกว่าเอ็นพีแอลถึง 1.4-1.5 เท่า อีกทั้งมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 สูงถึง 16-17% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำและประเทศพัฒนาแล้ว" ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุ
ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคืออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งประเมินว่าธุรกิจโรงแรมและที่พักในหลายพื้นที่จะยังไม่สามารถมีรายได้หล่อเลี้ยงที่เพียงพอ
ภาครัฐและผู้เกี่ยวข้องกำลังพิจารณามาตรการช่วยเหลือที่เฉพาะเจาะจง แม้อาจไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างครอบคลุมจากจำนวนกิจการที่มีมาก
หวังกันว่าจะช่วยประคองธุรกิจส่วนใหญ่ให้มีโอกาสไปต่อได้
วงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยยังเผชิญกับความตึงตัวด้านสภาพคล่องอยู่ จากที่อยู่อาศัยเหลือขายสะสมที่มีปริมาณมากทำให้ยังต้องรอบคอบในการเปิดโครงการใหม่
แต่ผู้ประกอบการก็มีการปรับตัวไประดับหนึ่งแล้ว และมีการสร้างรายได้ทางอื่นเพิ่มเติม
แต่ที่ต้องวิเคราะห์กันต่อไปคือ ความต้องการที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งถือว่าเป็นโจทย์ระยะกลางและระยะยาวสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องปรับตัวให้ได้หากจะอยู่รอดหลังโควิดผ่านไปแล้ว
อุตสาหกรรมรถยนต์เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว แต่คงต้องใช้เวลาก่อนที่จะกลับไปสู่ระดับก่อนหน้า COVID-19
ขึ้นอยู่กับกำลังซื้อทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งก็ยังมองไม่เห็นภาพชัดนักในช่วงปลายปีนี้ ต้องรอไตรมาสแรกของปีหน้าจึงจะพอเห็นความชัดเจนมากขึ้น
ที่ท้าทายมากสำหรับวงการนี้คือ การยกระดับไปสู่การผลิตรถยนต์แห่งอนาคตที่กำลังจะเปลี่ยนโฉมเข้าสู่รถไฟฟ้ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อีกสำนักวิเคราะหนึ่งคือ Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ (SCB EIC) ที่นำเสนอแนวทางวิเคราะห์ที่น่าสนใจเช่นกัน
คุณยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ SCB คาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2564 จะขยายตัว 3.8% จากฐานโดยที่มีปัจจัยสนับสนุนคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เม็ดเงินของภาครัฐทั้งจากงบประมาณและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
รวมถึงการกระจายวัคซีนในช่วงครึ่งหลังของปี
แต่ยังจะมี "แผลเป็นทางเศรษฐกิจ (scarring effects)" ที่จะกดดันการฟื้นตัวอุปสงค์ภาคเอกชนต่อเนื่อง
การลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัว 9.8% และยังมีวงเงินเหลือจาก พ.ร.ก.กู้เงินอีก 5 แสนล้านบาท ที่รัฐสามารถใช้ได้ในปี 2564 อีกทั้งการออกมาตรการคนละครึ่งระยะที่ 2 และให้เงินสนับสนุนเพิ่มเติมแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการ
รวมถึงขยายเวลามาตรการเราเที่ยวด้วยกัน
เป็นสัญญาณว่ารัฐพร้อมใช้มาตรการเพื่อพยุงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลดีต่อการใช้จ่ายของภาคประชาชน
ด้านภาคส่งออกของไทยคาดว่าจะขยายตัวที่ 4.7% ตามทิศทางเศรษฐกิจและการค้าโลก
แต่ปัญหาการขาดแคลนและต้นทุนที่สูงขึ้นของตู้คอนเทนเนอร์ โดยเฉพาะในช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงช่วงต้นปีหน้า
และแนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นตามทิศทางการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยกดดันต่อการส่งออกในปีหน้า
สำนักนี้เชื่อว่าการค้นพบวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงจากหลายค่าย รวมทั้งการที่ไทยเป็นผู้ผลิตวัคซีน AstraZeneca จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงครึ่งหลังของปี
คาดว่าประชากรในประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่จะได้รับการฉีดวัคซีนอย่างแพร่หลายในช่วงครึ่งแรกของปี 2564
ส่วนประเทศไทยคาดว่าจะเริ่มต้นได้รับวัคซีนที่จองซื้อไว้ในช่วงกลางปี และจะมีการฉีดอย่างแพร่หลายในช่วงครึ่งหลังของปี
ดังนั้นจึงคาดว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยในช่วงครึ่งหลังของปี 2564
คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 8 ล้านคน ซึ่งยังต่ำกว่าตัวเลขปี 2562 ที่มีเกือบ 40 ล้านคนอยู่มาก
จึงต้องหันมาปรับโมเดลธุรกิจกันขนานใหญ่
จากปริมาณสู่คุณภาพ
จากตลาดโหลสู่ตลาดบน!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |