"ประยุทธ์" วอนอย่าติเรือทั้งโกลน ต้องมองภาพรวมทั้งประเทศ รับต้องคิดแบบคนรุ่นใหม่ผสมผสานกับรุ่นเก่าเพื่ออนาคตประเทศ "ไทยภักดี" รอดูท่าที 15 ธ.ค.ก่อนประกาศธง "อานนท์" ลั่นปีหน้าเผาจริง ปีนี้แค่โหมโรง รับการต่อสู้ยังยาวไกลเพราะเป็นการต่อสู้ทางความคิด "เพจม็อบ" ร่ายยาวยกเชิดชูระบอบคอมมิวนิสต์
เมื่อวันจันทร์ ที่สโมสรทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2563 โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้โลกโซเชียลมีอะไรต่างๆ จำนวนมาก โดยมี 2 ประเภท ประเภทแรกคือใช้อารมณ์เขียนเข้ามา ประเภทที่สองเขียนเข้ามาด้วยหลักการและเหตุผลด้วยข้อมูล ซึ่งให้ความสำคัญติดตามเรื่องใดที่ควรให้ความสำคัญก็ต้องพิจารณา ไม่เช่นนั้นไม่สามารถทำอะไรได้เลย เราต้องช่วยกันทำให้ประเทศชาติผ่านวิกฤติไปให้ได้โดยเร็ว
"ขอร้องว่าอย่าทำลายสิ่งที่กำลังดีขึ้นนี้เลย ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม เรามีเรื่องดีเยอะแยะในประเทศของเรา ลองกลับไปทบทวนดูว่าที่ผ่านมาเราทำอะไรไปแล้วบ้าง ถ้าเราไม่หาส่วนที่ดีๆ มองหาแต่ส่วนที่ไม่ดี ก็จะเจอแต่สิ่งที่ไม่ดี ดังนั้นถ้าเราเจอสิ่งไม่ดีก็ต้องช่วยกันแก้ไข เพราะเป็นอุปสรรคของพวกเรา และเป็นความเสี่ยง เราต้องมองในภาพรวมของประเทศ ภาพรวมของประชาชน เราต้องทำให้ทุกคนสามารถเจริญเติบโตได้ มีการพัฒนาคุณภาพชีวิต" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่า การบริหารราชการแผ่นดินจำเป็นต้องอาศัยกฎกติกาและกฎหมายทุกประการ ไม่เช่นนั้นก็เดินไปไม่ถูกวิธี จึงขอให้ทุกคนทำความเข้าใจกันด้วย สิ่งสำคัญที่สุดคือฐานข้อมูลและข้อมูลที่ถูกต้อง เรากำลังอยู่ในยุคการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีปัญหายุ่งยาก มีปัญหาหลายประการ สิ่งที่จะทำให้เราผ่านพ้นปัญหาได้คือการพูดคุยกัน เอาสิ่งที่สามารถทำได้มาพูดคุยกันก่อน
"สิ่งที่ดีๆ ถือเป็นกำลังใจให้ผมเพื่อเดินหน้าแก้ปัญหาให้กับประเทศต่อไป สิ่งสำคัญที่คำนึงถึงคือประชาชนของเรา และวันนี้คิดว่าไม่กี่คนที่เป็นเบบี้บูมเมอร์ วันนี้ต้องปรับตัวเป็นเจนเอ็กซ์ เจนวาย และเจนแซด เราต้องคิดแบบเขา แล้วนำมาคิดแบบเรา ว่าจะทำสองอย่างแล้วประเทศจะไปกันอย่างไร ถือเป็นอนาคตของประเทศไทยทุกคนเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และสถาบันที่รักยิ่งของคนไทย ซึ่งวันนี้ทุกคนก็รู้อยู่แล้ว จึงขอให้เราควรมีความภาคภูมิใจ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนเข้มแข็ง ทั้งกาย ใจ และปัญญา คิดใหม่ ทำใหม่ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง องค์กรและบุคลากร ขอให้ประสบผลสำเร็จทุกคน" นายกฯ กล่าว
ด้าน น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนของสำนักวิจัยซูเปอร์โพล ที่พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ 96.8% รู้สึกแย่กับข่าวแกนนำม็อบมีแนวคิดจะแบ่งแยกประเทศออกเป็นสาธารณรัฐว่า เสียงสะท้อนของประชาชนเป็นเครื่องยืนยันว่าประชารับไม่ได้กับแนวคิดดังกล่าว และเข้าใจว่านี่คือวาระซ่อนเร้นของผู้อยู่เบื้องหลังให้แนวคิดกลุ่มผู้ชุมนุมมาตลอด โดยหลอกเอาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนำหน้าในการเคลื่อนไหวเรียกร้อง แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ลอกคราบออกมาให้เห็นว่า แท้ที่จริงต้องการลดบทบาทสถาบันเพื่อแบ่งแยกประเทศ ซึ่งเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่จะไม่ยอมให้กลุ่มคนเหล่านี้ทำสำเร็จแน่นอน
"การเปิดเผยวาระซ่อนเร้นของม็อบออกมาครั้งนี้ ทำให้ประชาชนตาสว่างและเข้าใจมากขึ้น ว่าแท้จริงแล้วที่เคลื่อนไหวมาตลอดหลายเดือนนั้น เบื้องหลังคืออะไร เหตุใดนักการเมืองและพรรคการเมืองบางพรรคถึงจ้องจะแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดที่ 1 ให้ได้ ก็เพราะรัฐธรรมนูญมาตรานี้เป็นบทบัญญัติที่รับรองรูปแบบของรัฐว่า ประเทศไทยจะต้องเป็นรัฐเดียวเท่านั้น" น.ส.ทิพานันระบุ
น.ส.ทิพานันกล่าวอีกว่า ผลโพลที่น่าสนใจอีกประเด็นคือ ประชาชนกว่า 98.5% เห็นด้วยว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่คนไทยทุกคนต้องกตัญญูต่อพระมหากษัตริย์ทุกรัชกาล รวมถึง 98.7% เห็นด้วยว่า ประชาธิปไตยของไทยแบบทุกวันนี้ดีอยู่แล้ว และแผ่นดินไทยต้องไม่แบ่งแยก ดังนั้นจึงขอให้ชาวไทยช่วยกัน ร่วมแรงร่วมใจไม่ให้คนที่ไม่หวังดีเข้ามามีบทบาทใดๆ ต่อสังคมและประเทศชาติ
วันเดียวกันยังคงมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงมาตรา 112 โดย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานยุทธศาสตร์กลุ่มไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ "มาตรา 112 ต้องไม่ปล่อยตามเกมเขา" ระบุว่า "ช่วงนี้พวกม็อบยิ่งแสดงบทอันธพาล หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ยั่วยุ จาบจ้วง ใช้คำหยาบต่อสถาบันจนทำให้ประชาชนไม่พอใจ เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินคดีตามมาตรา 112 เมื่อเจ้าหน้าที่เริ่มขยับ คนเหล่านี้ออกมาโวยวาย ว่าถูกรังแก ถูกปิดปาก ไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่คนพวกนี้เป็นฝ่ายหมิ่นประมาท ดูหมิ่นสถาบันจนประชาชนทนไม่ได้"
ไทยภักดีรอตอบโต้
"พวกเราคือประชาชนที่รักความถูกต้อง ชอบธรรม เคารพกฎหมาย ยึดมั่นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต้องไม่ปล่อยไปตามเกมที่เขากำหนด กลุ่มไทยภักดีขอดูท่าทีการแถลงข่าวของพรรคการเมืองที่สนับสนุนม็อบนัดแถลงข่าววันที่ 15 ธ.ค.นี้ก่อน และจะนัดแถลงข่าวแสดงจุดยืนอีกที"
ขณะที่ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กถึงมาตรา 112 และมาตรา 326 ว่า "ประมวลกฎหมายอาญาทั้ง 2 มาตรา ส่วนที่ต่างกันที่เป็นสาระสำคัญจริงๆ คืออัตราโทษเท่านั้น การกำหนดอัตราโทษที่สูงกว่าสำหรับการหมิ่นประมาท หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพองค์พระมหากษัตริย์ หรือหมิ่นประมาทประมุขสูงสุดของประเทศเป็นเรื่องที่ชอบด้วยเหตุผล การจะให้ยกเลิกมาตรา 112 แล้วให้พระมหากษัตริย์ใช้มาตรา 326 เช่นเดียวกับคนทั่วไป เป็นการไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะ 1.การจะให้พระมหากษัตริย์ทรงดำเนินการฟ้องหมิ่นประมาทเอง และเป็นคู่กรณีกับคนทั่วไป เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ การยกเลิกมาตรา 112 จึงเท่ากับลิดรอนสิทธิของพระมหากษัตริย์ในการปกป้องพระเกียรติของพระองค์ และ 2.การมีกฎหมายปกป้องคุ้มครองประมุขสูงสุดของประเทศ เป็นเรื่องที่ไม่ใช่มีแต่ในไทยเท่านั้น แม้ไม่ได้มีทุกประเทศ แต่การที่บอกว่าไม่ยอมรับกฎหมายนี้ เนื่องจากไม่เป็นสากล เพราะประเทศอื่นๆ ไม่มี เป็นการบิดเบือนจากความจริง"
"เหตุผลข้อเดียวที่ฟังขึ้นในการเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 แต่ปัจจุบันไม่ค่อยใช้อ้างกัน คือ เปิดใช้มาตรา 112 เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งกันทางการเมือง ซึ่งปัญหาข้างต้นน่าจะแก้ได้โดยไม่ต้องยกเลิกมาตรา 112 คือ ให้กำหนดไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้องเสียว่าผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษจะเป็นใครได้บ้าง" รศ.หริรักษ์ระบุ
รศ.หริรักษ์กล่าวอีกว่า "การยกเลิกมาตรา 112 กลับเป็นการเปิดโอกาสให้ใครก็ได้ที่อยากจะกล่าวหา โจมตีด้วยคำหยาบคาย ล้อเลียน หรือกระทำการใดๆ ที่เป็นการหมิ่นพระเกียรติของพระมหากษัตริย์กระทำได้อย่างสะดวก เพราะไม่ต้องกลัวถูกดำเนินคดี ดังนั้นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการยกเลิกมาตรา 112 จึงเป็นบุคคลดังกล่าว ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย และนอกจากมาตรา 112 ยังมีมาตรา 133 หากยกเลิกมาตรา 112 โดยไม่แตะต้องมาตรานี้ จะหมายความว่าอย่างไร"
"การเรียกร้องที่เน้นให้ยกเลิกมาตรา 112 ขณะนี้ดูเหมือนไม่ใช่เป็นการเรียกร้องเพื่อส่วนรวมจริง แต่เป็นการเรียกร้องเพื่อตัวเองและพรรคพวกที่กำลังถูกดำเนินคดีกันเป็นระนาว และเพื่อจะได้สามารถจาบจ้วงล่วงละเมิดกันให้สนุกปากได้ต่อไป เสียมากกว่า" รศ.หริรักษ์ระบุ
ขณะเดียวกัน ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) นายอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มคณะราษฎร 63 พร้อมทีมทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในความผิดมาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560
เพจม็อบยกย่องคอมมิวนิสต์
ต่อมาที่ สน.บางโพ นายอานนท์พร้อมคณะเดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 กรณีการชุมนุมที่บริเวณรัฐสภา แยกเกียกกาย เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยนายอานนท์ระบุว่าได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาเกี่ยวกับมาตรา 112 แล้ว 4 หมายเรียก และเชื่อว่าจะมีหมายเรียกย้อนหลังเข้ามาอีกในทุกๆ ที่ที่จัดการชุมนุม ซึ่งไม่ได้กังวลหรือหนักใจแต่อย่างใด ยืนยันว่าแกนนำและผู้เข้าร่วมการชุมนุมยินดีเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย
นายอานนท์กล่าวถึงการเคลื่อนไหวในปี 2564 ว่าจะชุมนุมเข้มขึ้น ทั้งเนื้อหาสาระ ทั้งสภาพจิตใจคน เศรษฐกิจ และการเมือง โดยยืนยันว่าข้อเรียกร้องยังคงเป็น 3 ข้อเช่นเดิม ส่วนการชุมนุมในปีนี้เป็นเพียงการโหมโรงเท่านั้น เพราะนี่คือการต่อสู้ระยะยาวที่เป็นการบ่มเพาะทางความคิดของคน ซึ่งคนรุ่นใหม่ไม่ใช่คนที่จะไปหักด้ามพร้าด้วยเข่า หรือเอาชนะในวันหรือสองวัน แต่นี่คือการต่อสู้ทางความคิด และเชื่อว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนทางสังคม
ด้านเพจเฟซบุ๊กเยาวชนปลดแอก-Free YOUTH โพสต์ข้อความระบุว่า "หลายคนอ้างว่าแค่สู้กับเผด็จการทางการเมืองก็เพียงพอแล้ว เอาทหารและศักดินาออกจากสภาก็เพียงพอแล้ว แต่กระนั้น เราจะมีประชาธิปไตยทางการเมืองไปทำไม ถ้าหากในที่ทำงานยังเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จ นายทุนกดขี่ สภาพการทำงานย่ำแย่ แรงงานไม่ได้ค่าแรงเป็นธรรม และไม่มีสิทธิพูดใดๆ คอมมิวนิสต์คือยาถอนพิษความเลวร้ายของระบอบทุนนิยม เพราะยึดถือหลักคนเท่ากัน โดยสรุปก็คือ คอมมิวนิสต์คือประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ"
"คอมมิวนิสต์ไม่เท่ากับเผด็จการแต่อย่างใด คอมมิวนิสต์มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้คนเท่ากันอย่างแท้จริง โดยไม่มีเงื่อนไขของเงินมาบัญชา ซึ่งความเท่าเทียมนี้ก็ไม่อาจแยกขาดกับเสรีภาพได้ หลายคนโจมตีว่าคอมมิวนิสต์จะแย่งยึดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นบ้าน มือถือ เสื้อผ้า อาหาร หรือแม้กระทั่งแปรงสีฟัน แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้น แปรงสีฟันคือกรรมสิทธิ์ส่วนตัว ไม่ใช่กรรมสิทธิ์เอกชน คอมมิวนิสต์ไม่ได้จะยึดแปรงสีฟัน แต่จะทำให้โรงงานแปรงสีฟันเป็นของแรงงาน ไม่ใช่นายทุนที่คอยลดต้นทุน ขูดรีดค่าแรงและกดคุณภาพแปรงสีฟัน คอมมิวนิสต์ต้องการแจกจ่ายแปรงสีฟันที่มีคุณภาพให้ผู้คน ไม่ได้ยึดแปรงสีฟันใคร"
เพจเฟซบุ๊กเยาวชนปลดแอกโพสต์อีกว่า "เมื่อนานมาแล้ว เราต่างเชื่อว่าโลกแบน เพราะถูกปลูกฝังให้เชื่อเช่นนั้น เราต่างหวาดกลัวที่จะท่องทะเลไกลโพ้นเพราะกลัวจะตกออกจากโลก ใครก็ตามที่คิดว่าโลกกลม ก็อาจถูกเข่นฆ่าได้ แต่แล้วแนวคิดโลกกลมก็พิสูจน์จนได้ว่าโลกไม่ได้แบนตามที่เขาหลอกลวง เช่นเดียวกันกับระบบทุนนิยม ที่ผู้คนต่างเชื่อว่ามันเป็นระบบที่เป็นฉันทามติ ยอมรับกันทั่วโลก เช่น ทุนนิยมไม่ได้เป็นระบบที่ดี แต่ก็เลวน้อยที่สุด เราปฏิรูปช่วยทุนนิยมมาหลายครั้ง พยายามหาทางประนีประนอมให้ทุนลดการกดขี่ลงสักนิด แต่แล้วก็ล้มเหลวทุกครั้ง ทุนนิยมไม่เคยช่วยเรา ซ้ำยังทำร้ายเราด้วยซ้ำ มันถึงเวลาแล้วหรือไม่ ที่เราควรจะจินตนาการให้ไกลกว่าระบบกดขี่เช่นนี้ และเชื่อว่าโลกใบใหม่เป็นไปได้".
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |