13 ธ.ค.63-ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 17 ราย ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 12 ราย และผู้เดินทางมาจากต่างประเทศไม่เข้าสถานที่กักกัน 5 ราย  ทำให้มียอดผู้ป่วยยืนยันสะสม 4,209 ราย ยอดหายป่วยสะสม 3,923 ราย มีผู้ป่วยรักษาในโรงพยาบาล 226 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสมคงที่ 60 ราย สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ มาจากสหรัฐอเมริกา 2 ราย สวิตเซอร์แลนด์ 2 ราย ปากีสถาน 1 ราย สหราชอาณาจักร 1 ราย ญี่ปุ่น 1 ราย เมียนมา 4 ราย และบาห์เรน 1 ราย ส่วนผู้เดินทางมาจากต่างประเทศไม่เข้าสถานที่กักกัน มาจากเมียนมา 5 ราย สำหรับสถานการณ์โลกยอดผู้ติดเชื้อรวม 72,103,223 ราย รักษาหาย 50,489,150 ราย ผู้เสียชีวิตรวม 1,611,492 ราย  

นพ.วิชาญ ปาวัน นายแพทย์เชี่ยวชาญ กรมควบคุมโรค แถลงว่า ในส่วนของผู้ป่วยรายใหม่วันเดียวกันนี้มี 17 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 12 ราย และอีก 5 รายที่ไม่ได้เข้าสถานที่กักกันของรัฐ เป็นกลุ่มคนไทยที่รายงานไปเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ซึ่งตรวจพบเชื้อที่ประเทศเมียนมา และนำกลับเข้าสู่กระบวนการรักษาในประเทศไทย ที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ส่วนการติดเชื้อในกลุ่มบุคคลากรทางการแพทย์ยังคงที่ 6 ราย ขณะนี้ยังต้องรอผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการในกลุ่มผู้สัมผัสให้ครบ 3 ครั้ง และยังไม่พบการกระจายไปในกลุ่มอื่นๆ 

ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สำหรับกรณีการรับคนไทยจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา เข้าประเทศไทย ยังพบผู้ติดเชื้อที่ 9 ราย ทั้งหมดเข้าสู่ระบบการกักกันโรค ฉะนั้นความเสี่ยงของ อ.แม่สาย  ไม่ได้เพิ่มขึ้น ทำให้ภาพรวมของกรณี จ.ท่าขี้เหล็ก เรามีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 58 คน มีการติดในประเทศเพียง 2 รายคือที่ จ.สิงห์บุรี และ จ.เชียงราย ซึ่งไม่มีการแพร่กระจายต่อ 

"จากกรณี จ.ท่าขี้เหล็กเมื่อดูจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา 2 สัปดาห์กว่า จะพบจุดเสี่ยงของประเทศไทยคือชายแดน โดยเฉพาะกิจกรรมสีเทาที่ผิดกฎหมาย ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องลักลอบเข้าประเทศ และเมื่อตรวจพบเชื้อก็มักปกปิดข้อมูลที่เป็นจริง ซึ่งขณะนี้เราดำเนินมาตรการเข้มงวดขึ้นทุกๆชายแดน ไม่ใช่เฉพาะชายแดนเมียนมาเท่านั้น เช่น เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ที่ จ.อุบลราชธานี มีการจับชาวลาวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย 61 คน นำเข้าสู่ระบบการกักกันในห้องขังเรียบร้อย ทั้งหมดผลตรวจเป็นลบ และจะผลักดันกลับประเทศต่อไปตามขั้นตอน"
  
เมื่อถามว่า กรณีมีข่าวในโซเชียลว่ามีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เข้าไปเที่ยวงานเทศกาลเขาใหญ่ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และต้องมีมาตรการในการจัดงานลักษณะนี้อย่างไร นพ.โอภาส กล่าวว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นเรายังไม่พบผู้ติดเชื้อจาก จ.เชียงใหม่ หรือที่อื่นๆ ไปยังคอนเสิร์ต อ.ปากช่อง  โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีหญิงอายุ  43 ปี พร้อมเพื่อน 7 คน เดินทางจาก จ.เชียงใหม่ โดยเครื่องบินไปสนามบินดอนเมือง และนั่งรถตู้ไปงานคอนเสิร์ต อ.ปากช่อง และพักที่ปากช่อง ซึ่งหญิงรายนี้มีโรคประจำตัวคือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ทำให้เขาเกิดอาการทางเดินหายใจ และเกิดอาการการหายใจล้มเหลว ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ขณะนี้รักษาที่โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ที่มีความกังวลว่าหญิงรายดังกล่าวจะติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่นั้น ผลทางห้องปฏิบัติการ ทั้งหญิงดังกล่าว เพื่อนอีก 7 คน และคนขับรถตู้ ผลการตรวจเป็นลบ ฉะนั้นการแชร์ข่าวพบผู้ติดเชื้อ 8 คน ไม่เป็นความจริง ขอประชาชนอย่าแชร์ข่าวต่อ เพราะเข้าข่ายข่าวปลอม อาจผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ได้  

อย่างไรก็ตาม ในความห่วงใยในการจัดงานที่ อ.ปากช่อง การจัดกิจกรรมอะไรในช่วงนี้ต้องประกอบด้วย 3 ส่วนคือ 1.ผู้จัดงานต้องดำเนินการตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข หรือคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดในการป้องกันการติดเชื้อ 2.ต้องมีหน่วยงานลงไปติดตามกำกับ คือเจ้าหน้าที่ จ.นครราชสีมา โดยเมื่อเจ้าหน้าที่ไปติดตามพบว่าผู้ร่วมงานอยู่กันอย่างแออัด มีการใส่แมสบ้างไม่ใส่บ้าง โดยเฉพาะจุดเสี่ยงหน้าเวทีต้องหลีกเลี่ยงการตะโกนและเบียดเสียดกัน จึงได้มีการแจ้งผู้จัดให้ลดการแออัดลง แต่เบื้องต้นจากการรายงานไม่มีการแก้ไข ฉะนั้นนายแพทย์สาธารณสุข จ.นครราชสีมา ในฐานะตัวแทนหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขใน จ.นครราชสีมา ได้แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณายกเลิกการจัดคอนเสิร์ตดังกล่าว เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการแพร่กระจายของโรคได้หากมีผู้ติดเชื้อไปในงาน แต่ขณะนี้ยืนยันว่ายังไม่พบ อย่างไรก็ตาม ในมาตรการยกเลิกนี้ให้รอคำสั่งของทางผู้ว่าฯอีกครั้งหนึ่ง  

ทั้งนี้สำหรับผู้ที่ไปร่วมงานคอนเสิร์ตนี้ พบว่ามีการสแกนไทยชนะ 30,150 คน ขณะนี้เรามีข้อมูลต่างๆแล้ว และจะมีการแจ้งข่าวว่ามีความเสี่ยงอย่างไร และจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้เกิดความสบายใจ อย่างไรก็ตามการจัดกิจกรรมช่วงนี้สามารถดำเนินการได้ แต่ขอให้เน้นย้ำมาตรการดำเนินการป้องกัน  

"ข่าวดีขณะนี้มีวัคซีนหลายชนิดที่ทำการทดลองในมนุษย์ระยะ 3 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งประเทศไทยขณะนี้เราดำเนินการรับเทคโนโลยีจากประเทศอังกฤษเพื่อมาผลิตวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทยเอง โดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ซึ่งบริษัทฯได้รับเทคโนโลยีมาจากประเทศอังกฤษ เท่าที่ตามข่าวเริ่มกระบวนการผลิตวัคซีนแล้ว อีกไม่นานคงจะมีข่าวดีออกมาเรื่อยๆ และหากเป็นไปตามแผนเราจะมีวัคซีนล็อตแรกที่จองทั้งหมด 26 ล้านโดส สำหรับคนไทย 13 ล้านคน ในระยะแรก"