‘ม็อบมุ้งมิ้ง’ ย้อนแย้ง-เลยธง ประยุทธ์’ ลอยตัว-ประเทศยังติดหล่ม


เพิ่มเพื่อน    

 

การเคลื่อนไหวของกลุ่มคณะราษฎร 2563 และแนวร่วม นับวันจะถูกตั้งคำถามว่า เป้าหมายที่แท้จริงคืออะไร นอกจากการชูธงปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ 10 ข้อ เป็นประเด็นหลักตั้งแต่แรก

ประชาชนผู้ที่จงรักภักดีได้ออกมาแสดงพลังปกป้องสถาบันกันทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง และรับไม่ได้กับพฤติกรรมการแสดงออกแบบก้าวร้าว หยาบคาย ถ่อย เถื่อน ไร้อารยะ และการจาบจ้วงล่วงเกินสถาบัน 

ทำให้แนวร่วมของผู้ชุมนุมลดลงเรื่อยๆ การชุมนุมช่วงหลังๆ เหลือมวลชน 2,000-3,000 เท่านั้น จนมีการเสนอให้มีการปรับแนวทางการเคลื่อนไหวเพื่อรักษามวลชน

ล่าสุดมีการเสนอแนวคิดใหม่จากเพจเฟซบุ๊ก "เยาวชนปลดแอก-Free YOUTH" โพสต์ข้อความปลุกระดมแนวคิดการปกครองแบบ สาธารณรัฐ (Republic) พร้อมสัญลักษณ์ ค้อน-เคียว สร้างความแปลกใจไม่น้อยว่า ที่ชูงธงการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามแนวทาง คณะราษฎร แต่กลับจะไปสู่ ระบอบคอมมิวนิสต์ หรืออย่างไร

ทำเหมือนไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์และบทเรียนมากมายทั่วโลกว่าการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือระบอบสาธารณรัฐ รวมทั้งระบอบคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงด้วยการปฏิวัติ คนในชาติต้องเข่นฆ่ากันตายกี่ล้านศพ ไล่ล่ากันอีกกี่สิบปี และต้องมีพัฒนาการอีกเท่าไหร่ถึงจะเข้ารูปเข้ารอย

                โดยเฉพาะการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยโดยคณะราษฎร เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2475 ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นการ ชิงสุกก่อนห่าม เพราะพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ได้เตรียมการที่จะมอบรัฐธรรมนูญที่เป็นในลักษณะค่อยๆ เปลี่ยนแปลง แบบค่อยเป็นค่อยไปให้อยู่แล้ว

                แต่การเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดโดยที่ ราษฎรทั้งหลาย ยังไม่มีความรู้เรื่องระบอบประชาธิปไตยอะไรเลย จึงตกเป็นเครื่องมือของผู้แทนราษฎรเข้าไปแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ ส่งผลให้สังคมไทยเกิดความขัดแย้งและแบ่งขั้วจนถึงปัจจุบัน

                การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงที่ไม่สอดรับกับ ภาวะวิสัย หรือ เลยธง จึงทำให้ไปไม่ถึงเป้าหมายและซ้ำเติมปัญหา

                ส่วนการพูดถึงเรื่องความเสมอภาค ความเท่าเทียม ปัญหาทางชนชั้น ก็ย้อนแย้งกับพฤติกรรมพวกแกนนำ เมื่อมีการแชร์ภาพแกนนำ อาทิ รุ้ง-น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ ไปกินข้าวเย็นหรูหราที่แกรนด์ไฮแอทเอราวัณ​

จนมีการย้อนกลับว่า "ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ความเท่าเทียมไม่ได้มีอยู่จริงอย่างที่แกนนำปลดแอกหลอกลวง พวกมันกินหรูอยู่สบาย ได้ประโยชน์ต่างตอบแทนจากคนที่อยู่เบื้องหลังม็อบ ส่วนมวลชนม็อบเป็นได้แค่เครื่องมือให้พวกมันสนตะพายลากจูงต่ออีกทอดหนึ่ง"

ขณะที่การ์ดของผู้ชุมนุมก็มีการวิวาทะกันเองว่ากลุ่ม wevo อยู่ดีกินดี แตกต่างจากกลุ่มอาชีวะที่เสมือนชนชั้นสอง

ความขัดแย้งดังกล่าวทำให้ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำกลุ่มคณะราษฎร ได้ประกาศ​ยุติบทบาทของหน่วยงานการ์ดอาสาทั้งหมด โดยระบุว่าทางผู้จัดจะจัดทีมงานที่ได้รับการฝึกฝนและมีทักษะอย่างมืออาชีพมาช่วย ขณะที่ นายสมบัติ ทองย้อย หัวหน้าการ์ดเสื้อแดง แฉว่าที่แท้ให้เพื่อนไปเปิดบริษัทรองรับงาน เงินจ้างการ์ดบริษัทเพื่อนก็เข้ากระเป๋าเพื่อน

กลายเป็นว่าแกนนำผู้ชุมนุมใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง

                เมื่อพูดถึงเรื่องความโปร่งใสกลับพบว่า นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด น้องชายนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ติดสินบนเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ วงเงิน 500 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทได้เช่าที่ดินมูลค่านับหมื่นล้านบาท โดยจ่ายสินบนไปแล้ว 20 ล้าน ต่อมา 27 พ.ย.2562 ศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 2 คน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กับนายหน้าค้าที่ดิน คนละ 3 ปี

ท่ามกลางความกังขาว่าทำไม นายสกุลธร ไม่มีความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงาน และนายธนาธร ในฐานะผู้ถือหุ้น มีส่วนรับรู้เรื่องการติดสินบนด้วยหรือไม่

นี่คือพฤติกรรมของกลุ่มทุนผูกขาดที่แสวงหาประโยชน์โดยไม่สนใจจริยธรรมและกฎหมาย เป็นกลุ่มทุนใหม่ที่อันตรายกว่าทุนเก่าที่นายธนาธรและแกนนำม็อบปลุกระดมมาตลอด

พฤติกรรมย้อนแย้งต่างๆ และความขัดแย้งภายในไร้เอกภาค ไร้อารยะ ทำให้เกิดข้อกังขาว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้หรือจะนำพาประเทศชาติในอนาคตให้รุ่งเรืองได้?

ทั้งนี้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ แกนนำคณะก้าวหน้าถือเป็นผู้มีอิทธิพลทางความคิด ในการโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด

                กลุ่มต่อต้านรัฐบาลและสถาบันพระมหากษัตริย์ จัดกิจกรรมที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา เคลื่อนไหวให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีการไปยื่นหนังสือต่อองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เรียกร้องให้ยกเลิก ม.112 อ้างว่าเป็นกฎหมายที่ล้าหลัง และปิดกั้นสิทธิเสรีภาพการแสดงความเห็น กลายเป็นเครื่องมือทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม

 โดย นายปิยบุตร แสงกนกกุล ระบุว่า ม.112 อยู่ในหมวดความมั่นคงในราชอาณาจักร คือการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

ทั้งนี้ เรื่องมาตรา 112 สังคมไทยมีการถกเถียงกันมานาน ซึ่งทุกประเทศก็มีกฎหมายคุ้มครองประมุขของรัฐทั้งนั้น ประเทศสหรัฐอเมริกา หรืออังกฤษ ก็เพิ่งมีการลงโทษจำคุกกับบุคคลที่ปองร้ายต่อประมุขของรัฐ

แต่ที่ผ่านมาเมื่อมีการแจ้งข้อกล่าวหาในฐานความผิดดังกล่าว พนักงานสอบสวนมักทำสำนวนสั่งฟ้องต่ออัยการ เพราะเกรงว่าหากไม่สั่งฟ้องจะถูกมองว่าเข้าข้างผู้ถูกกล่าวหา ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาเดือดร้อนจำนวนมาก

ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้ระบุว่า จะไม่ใช้มาตรา 112 เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระเมตตา มีพระมหากรุณาธิคุณ ไม่อยากให้มีการดำเนินคดี 

จะเห็นได้ว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ไม่มีผู้ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 แต่อย่างใด ถือเป็นการเปิดทางให้วิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ได้มากขึ้น

แต่ผู้ชุมนุมไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ตามด้วยเหตุผลทางวิชาการ กลับใช้ถ้อยคำหยาบคายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยาม อาฆาตมาดร้ายต่อประมุขของประเทศอย่างชัดเจน ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศจึงหนุนให้ใช้มาตรา 112 อย่างเคร่งครัด

ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับว่า หากไม่ดำเนินคดีก็อาจโดนข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 

อย่างไรก็ตาม หากเห็นว่ามาตรา 112 มีโทษหนักเกินไป ก็เสนอให้แก้ไขลดอัตราโทษจากขั้นต่ำ 3-15 ปี โดยไม่ต้องมีอัตราโทษขั้นต่ำ ก็จะมีเหตุผลพอรับฟังได้

เพราะหากยกเลิกมาตรา 112 เลย เท่ากับปล่อยให้มีการโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์หนักกว่าเดิม ขนาดมีมาตรา 112 ยังโจมตีสถาบันรุนแรงกันขนาดนี้ หากไม่มีจะขนาดไหน และสังคมไทยคงไม่ยอมให้ไปถึงจุดนั้น

ที่น่าสนใจ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ และรองอธิการบดีฝ่ายความยั่งยืนและบริหารศูนย์รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยแพร่บทความเรื่อง The King Can Do No Wrong คือ พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ แต่ทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง

โดยระบุว่า จากความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์มักจะอ้างถึงพระมหากษัตริย์ในการทำอะไรหรือไม่ทำอะไรอยู่บ่อยครั้ง จากต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ เรื่องก็เลยลุกลามไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ และกลายเป็นประเด็นปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในขณะนี้

ดร.ปริญญาสรุปว่า “สาเหตุของปัญหาเกิดจากพลเอกประยุทธ์ ทั้งในเรื่องการเมืองที่สืบทอดอำนาจ และเรื่องการไม่ยึดมั่นในหลัก The King Can Do No Wrong หากพลเอกประยุทธ์ยังไม่แก้ไข แล้วยิ่งอยู่นานไปยิ่งเป็นปัญหา เราก็คงต้องไปแก้ที่พลเอกประยุทธ์”  

แต่ดูเหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องดังกล่าว เอาแต่ใช้กฎหมายจัดการกับแกนนำผู้ชุมนุม ปล่อยปละละเลย ไม่ปฏิรูปโครงสร้างประเทศตามสัญญา ที่ยังมีปัญหาความเหลื่อมล้ำ และความอยุติธรรม ต้นเหตุ กำเนิดมวลชนปฏิวัติ อย่างที่ นายแก้วสรร อติโพธิ สะท้อนผ่านบทความ

ยิ่งผู้ชุมนุมแผ่วลง ขัดแย้งกันเอง เลยเถิด ขณะที่ประชาชนยังออกมาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และต่อต้านพวกจาบจ้วงสถาบัน ยิ่งทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ใจ ลอยตัว และหมกปัญหาไว้ใต้พรม สังคมไทยก็ยังจมปลักติดหล่มอยู่กับความขัดแย้งต่อไป.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"