เมื่อวานเขียนถึง "คนวงใน" วิเคราะห์ทิศทางนโยบายของรัฐบาลโจ ไบเดนต่อเอเชีย
คุณ Daniel Russel เคยเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในยุคโอบามา-ไบเดน จึงใกล้ชิดกับไบเดนมาก
รัสเซลให้สัมภาษณ์ NiKKei Asia หลายประเด็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะคำถามที่ว่าท่าทีของไบเดนต่อจีนจะกร้าวน้อยกว่าทรัมป์ไหม?
เขาตอบว่า
"คงจะมีความต่อเนื่องในระดับหนึ่งจากทรัมป์มาสู่ไบเดน เหตุผลส่วนหนึ่งคือ ที่รัฐบาลทรัมป์ได้ระบุบางประเด็นที่เกี่ยวกับความท้าทายต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ แต่ทรัมป์ไม่ได้ทำอะไรมากนักในการแก้ปัญหาเหล่านั้น..."
รัสเซลเน้นว่า "แน่นอน ประธานาธิบดีไบเดนจะกร้าวกับจีน ไม่ต้องสงสัยเลย"
แต่ต้องลงรายละเอียดว่าคำว่า "กร้าว" ของไบเดนต่างกับของทรัมป์อย่างไร
"จริงๆ แล้วทรัมป์ไม่ได้กร้าวกับจีนจริงๆ...กร้าวเฉพาะวาทะเท่านั้น"
เขาบอกว่าทรัมป์ใช้การพูดจาข่มขู่และประณามปักกิ่งบ่อยๆ พยายามจะมีทีท่าว่าแข็งกร้าวต่อจีน
"แต่เราก็รู้ว่าทรัมป์ปล่อยให้จีนหลุดรอดเรื่องสิทธิมนุษยชน และทรัมป์ยืนอยู่ข้างเดียวกับสี จิ้นผิงในการคุกคามพลังประชาธิปไตยในฮ่องกง และทรัมป์อนุญาตให้ปักกิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อไต้หวัน..."
รัสเซลบอกว่ารัฐบาลทรัมป์ใช้วาทะกล่าวร้ายจีนมาก วิพากษ์เยอะ และประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีน...แต่ก็ทำแบบเดียวกันนี้กับญี่ปุ่นและพันธมิตรของสหรัฐฯ ด้วย
"และสิ่งที่ทรัมป์ทำเกี่ยวกับหัวเว่ย ไล่นักศึกษาและนักข่าวจีนออกจากประเทศ...แต่มันก็ไม่ได้แก้ปัญหา ไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมของฝ่ายจีนแต่อย่างใด..."
อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ คนนี้บอกว่า ทรัมป์ทำอะไรต่างๆ เหล่านี้ต่อจีนโดยไม่ได้ปรึกษาหารือกับญี่ปุ่น
"นายกฯ ญี่ปุ่นมารู้เรื่องเกี่ยวกับการตัดสินใจต่างๆ ของทรัมป์ในเวลาเดียวกันเหมือนทุกๆ คน...คือจากการอ่านทวิตเตอร์" รัสเซลบอก
เขาบอกว่าความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างทรัมป์กับไบเดนคือ
ทรัมป์เป็น showman
ไบเดนเป็น statesman เป็น doer
รัสเซลบอกว่าไบเดนจะไม่ทำอะไรที่ไม่ได้ผล และจะไม่ทำอะไรที่ทำให้ปัญหาแย่ลงกว่าเดิม
"ไบเดนจะทำอะไรที่แก้ปัญหา หากมีอะไรที่แก้ไม่ได้ก็จะบริหารปัญหานั้นในแนวทางที่จะปกป้องผลประโยชน์ของเราและของเพื่อนเรา..."
เขาเน้นว่าไบเดนจะทำงานร่วมกับพันธมิตรเช่นญี่ปุ่นเพื่อจะเอาชนะการแข่งขันกับจีน
แต่ขณะเดียวกันไบเดนก็พร้อมที่จะร่วมมือกับจีนในเรื่องที่สหรัฐฯ ได้ประโยชน์ร่วมกัน เช่นการต่อสู้กับโควิด-19 และเรื่องโลกร้อน
"เราจะทั้งร่วมมือและแข่งขันไปพร้อมๆ กัน" รัสเซลบอก
"ประธานาธิบดีไบเดนจะรับช่วงหลายเรื่องจากการตัดสินใจของทรัมป์ เช่นเรื่องการขึ้นภาษีสินค้าจีน..."
อีกเรื่องหนึ่งคือข้อตกลงการค้ากับจีนที่รัฐบาลทรัมป์ได้ทำไปแล้ว
และจะต้องตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรกับเรื่อง TPP (Trans-Pacific Partnership) ที่โอบามาริเริ่มเอาไว้และทรัมป์บอกยกเลิกบทบาทของอเมริกา
รัสเซลยอมรับว่าประเด็นเรื่อง TPP สำหรับไบเดนมีมิติทั้งด้านการเมืองในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะต้องนำมาพิจารณาก่อนตัดสินใจว่าจะกลับมาร่วมหรือจะทำอย่างไรต่อไป
"แต่ผมไม่คาดว่าไบเดนจะรีบร้อนตัดสินใจเรื่องเหล่านี้ เพราะท่านได้ประกาศเอาไว้ว่าจะทำอะไรหลายเรื่องในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง และนั่นหมายถึงการยกเลิกสิ่งที่ทรัมป์ทิ้งเอาไว้..."
รัสเซลบอกว่านโยบายต่างประเทศของไบเดนคงไม่ได้เริ่มด้วยจีน
"ผมไม่เชื่อว่านโยบายต่างประเทศของรัฐบาลไบเดนจะเน้นเรื่องจีนเป็นหลัก แต่จะอยู่บนพื้นฐานของการประเมินว่าสหรัฐฯ จะได้ประโยชน์อะไร เพื่อนของเราจะได้ประโยชน์อะไร และการทูตที่มีเนื้อหาสาระอย่างเป็นรูปธรรม..."
คำบอกเล่าของรัสเซลสะท้อนถึงวิธีคิดและทำงานของไบเดน ที่เน้นความสัมพันธ์กับพันธมิตรและการรวมตัวเพื่อกดดันจีนให้เข้าสู่กฎกติกาที่อเมริกาเห็นว่าสำคัญสำหรับ "ระเบียบโลก" ใหม่
สี จิ้นผิงของจีนอาจจะชอบทรัมป์มากกว่าเพราะคุยเรื่อง "เซ็งลี้" ได้เป็นอันจบ
แต่กับไบเดนนั้น สี จิ้นผิงต้องตั้งหลักคุยเรื่องค้าขายเคียงคู่กับเรื่องสิทธิมนุษยชน, โลกร้อน, และไต้หวันด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เกมใหม่ของมหาอำนาจโลกกำลังเริ่มบทใหม่อีกครั้ง!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |