แกะรอยกรรมตาม 'สินบน'


เพิ่มเพื่อน    

      ก็แค่นี้แหละ.......

            ถ้าแถลงซะตั้งแต่แรกก็จะไม่ถูกชาวบ้านนินทาจนท้องขึ้นเรื้อรังอย่างที่เป็น

            ในเรื่องที่สงสัยกัน ว่าทำไมอัยการจึงนิ่งสนิทเป็นกบจำศีล กรณี "นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ประธานบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด

            "ติดสินบน" เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ ๒๐ ล้านบาท เพื่อให้ได้สิทธิเช่าที่ดินทรัพย์สินฯ ตรงชิดลม

            เมื่อวาน (๙ ธ.ค.๖๓) ทีมโฆษกชุดใหม่ ตั้งโต๊ะแถลง  ผมจะคัดเนื้อๆ จากไทยโพสต์ถอดเทปมาให้อ่าน เพื่อเป็นฐานความเข้าใจ

            คณะโฆษกที่ร่วมแถลงก็มี....

            -นายอิทธิพร แก้วทิพย์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด

            -นายชาญชัย ชลานนท์นิวัฒน์ รองโฆษกฯ

            -นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกฯ

            เรื่องนี้ เป็นคดีระหว่าง "สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" มอบอำนาจให้ "นายอิศรา จารุวณิชกุล" เป็นผู้กล่าวหา

            ดำเนินคดี "นายประสิทธิ์ อภัยพลชาญ" ผู้ต้องหาที่ ๑  "นายสุรกิจ ตั้งวิทูวนิช" ผู้ต้องหาที่ ๒

            ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่า....

            ร่วมกันปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม และร่วมกันเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่น

            เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจ หรือได้จูงใจเจ้าพนักงานโดยทุจริต หรือผิดกฎหมาย ให้ทำการ หรือไม่กระทำการในหน้าที่

            เหตุเกิดเมื่อ มี.ค.-พ.ย. ๒๕๖๐ ต่อเนื่องกัน ในท้องที่แขวงดุสิต เขตดุสิต และแขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง

            คดีดังกล่าว ศาลมีคำสั่งจำคุกผู้ต้องหาที่ ๑-๒ ไปแล้ว เมื่อวันที่ ๒๗ พ.ย.๖๒

            "โฆษกอิทธิพร" แถลงว่า......

            จากการตรวจสำนวน เมื่อต้นปี ๒๕๖๐ นายประสิทธิ์ และนายสุรกิจได้ร่วมกันปลอมหนังสือราชการของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ๒ ฉบับ แล้วนำไปแสดงต่อนายสกุลธร

            ว่าสำนักงานทรัพย์สินฯ มีที่ดินจะให้เช่าเพื่อทำธุรกิจ  ๒ แปลง ในซอยร่วมฤดี และในเขต "สำนักงานใหญ่องค์การโทรศัพท์" ชิดลม

            นายสกุลธรสนใจ จึงว่าจ้างนายสุรกิจ เป็นผู้แทนดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ในวงเงินสัญญาจ้าง ๕๐๐ ล้านบาท เพื่อให้นายสุรกิจให้ติดต่อนายอิศรา

            โดยอ้างว่า นำไปจ่ายค่าจ้างดำเนินการเพื่อ "ล็อกผู้ใหญ่"

            มีการจ่ายเงินงวดแรกเมื่อเดือน ม.ค.๖๐ จำนวน ๕  ล้านบาท

            โดยให้นายประสิทธิ์ ผู้ต้องหาที่ ๑ นำไปให้เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ ทำเอกสารปลอม ส่งให้นายสุรกิจ ผู้ต้องหาที่ ๒ นำไปให้นายสกุลธร เพื่อยืนยันว่าผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติที่จะเป็นผู้เช่าที่ดิน

            เมื่อวันที่ ๕ พ.ย.๖๐ นายสกุลธร ได้จ่ายเงินให้อีก ๕ ล้านบาท มีการนัดทำสัญญา

            โดยระบุว่านายสกุลธรได้สิทธิเช่าที่ดินทั้ง ๒ แปลง และขอให้ผู้ต้องหาที่ ๒ เร่งดำเนินการ พร้อมกับออกเอกสารเชิญบริษัทฯ ให้เข้าร่วมประชุม

            จึงทำให้นายสกุลธร จ่ายเงินให้ผู้ต้องหาที่ ๒ อีกจำนวน ๑๐ ล้านบาท รวมจ่าย ๓ ครั้ง เป็นเงิน ๒๐ ล้านบาท

            แต่ปรากฏว่า เมื่อถึงวันนัดหมาย ได้มีการยกเลิกการประชุม

            นายสกุลธรจึงได้ "ทวงเงินคืน"

            โดยผู้ต้องหาที่สอง ได้คืนเงินให้จำนวน ๗ ล้านบาท

            โฆษกอิทธิพร แถลงต่อว่า....

            ต่อมาสำนักงานทรัพย์สินฯ ทราบเรื่อง จึงให้นายอิศราเข้าร้องทุกข์กับกองปราบฯ

            ออกหมายจับผู้ต้องหา ๒ คน คือนายประสิทธิ์และนายสุรกิจ ซึ่งผู้ต้องหา "ให้การรับสารภาพ"

            ศาลมีคำพิพากษา เมื่อ ๒๗ พ.ย.๖๒ จำคุกจำเลยทั้ง  ๒ คนละ ๖ ปี ลดโทษให้เหลือคนละ ๓ ปี เนื่องจากจำเลยรับสารภาพให้การที่เป็นประโยชน์

            "อัยการสำนักงานพิเศษฝ่ายปราบปรามการทุจริต ๔"  ได้เสนออัยการศาลสูงสุด "ไม่อุทธรณ์"

            และได้ส่งสำนวนความเห็นคำสั่งไม่อุทธรณ์ไปที่ ผบ.ตร.เพื่อพิจารณาแล้ว

            ซึ่งทาง ผบ.ตร.เห็นชอบคำสั่งไม่อุทธรณ์คดี จึงถึงที่สุดตามคำพิพากษา

            รองโฆษกชาญชัย กล่าวเสริมว่า......

            ข้อเท็จจริงในคดีมีผู้ต้องหา ๒ คนที่เกี่ยวข้องกับนายสกุลธร โดยอัยการได้สั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสองในความผิดฐานเรียกรับสินบน

            ส่วนนายสกุลธรอยู่ในฐานะพยาน

            แต่เมื่อปรากฏข้อมูลในศาลว่า นายสกุลธรอาจไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย พนักงานสอบสวนก็ได้ตั้งสำนวนอีก  ๑ คดี

            กำลังดำเนินการสอบสวนพฤติการณ์ของนายสกุลธรมีความผิดฐานให้สินบนหรือไม่ ซึ่งอัยการยังไม่สามารถเข้าไปดำเนินการใดๆ ได้

             ถ้าพนักงานสอบสวนทำสำนวนเสร็จและส่งให้อัยการแล้ว อัยการจึงสั่งสอบเพิ่มเติมได้

            ดังนั้น ตามที่ปรากฏข่าวว่าอัยการไม่ดำเนินคดีหรือไม่สั่งฟ้องนายสกุลธรนั้น

            "ไม่เป็นความจริง"

            นักข่าวถามว่า.......

            "มีการสอบถามไปยังพนักงานสอบสวนหรือไม่ว่าปัจจุบันดำเนินการถึงไหน?"

             นายชาญชัยตอบว่า....

            "กระบวนการสอบสวนของตำรวจมีขั้นตอนเป็นอิสระ และเป็นคนละส่วนกับอัยการ ซึ่งอัยการไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายล้วงลูกได้

            แต่สุดท้ายแล้ว ผลการสอบสวนของตำรวจจะต้องส่งมาให้อัยการทำความเห็นเช่นกัน"

            นักข่าวถาม......

            "คำพิพากษาของศาลในสำนวนแรก สามารถใช้เป็นหลักฐานเอาผิดนายสกุลธรได้หรือไม่?"

            รองโฆษกชาญชัยตอบ....

            "ศาลวินิจฉัยได้เท่าที่มีการกล่าวหา หรือฟ้องร้องกัน  ส่วนข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นหลังจากนั้น พนักงานสอบสวนกำลังทำการสอบสวนอยู่ และไม่สามารถนำคำพิพากษามาเป็นส่วนหนึ่งของพยานได้

            แต่ข้อเท็จจริงเดียวกัน สามารถตามพยานที่ปรากฏมารวบรวมพยานหลักฐานได้"

            รองโฆษกประยุทธ กล่าวเสริมว่า

            "ข่าวที่ปรากฏว่าอัยการสั่งไม่ฟ้องหรือไม่ดำเนินคดีนายสกุลธรมีความคลาดเคลื่อน เพราะนายสกุลธรยังไม่ได้เป็นผู้ต้องหาในสำนวน

            หากจะถามว่า ทำไมไม่แนะนำให้สอบเพิ่ม เนื่องจากพนักงานสอบสวนกำลังดำเนินการ

            เราไม่สามารถก้าวก่ายได้ ......

            และประการสำคัญคำพิพากษาของศาลมีจำเลยเพียงแค่ ๒ คน ซึ่งจำเลยรับสารภาพ จึงไม่มีการสืบพยาน

            ดังนั้น 'สำนวนคดีใหม่' จะไม่อยู่ในคำพิพากษา"

            ครับ....

            สาระหลักในคำแถลงประมาณนี้ สรุปความคือ คดีนี้จบแล้ว เมื่อไม่อุทธรณ์ ก็หมดหน้าที่อัยการพึงกระทำในเรื่องนี้แล้ว

            ผู้พึงกระทำต่อจากนี้ในเรื่องสินบนคือ "พนักงานสอบสวน" คือตำรวจ!

            ตามเส้นทางก็เป็นเช่นนั้น จะจบห้วนๆ แบบมีคนรับสินบน ติดคุกไปแล้ว แต่ไม่มีคนให้สินบน ดูมันพิลึกอยู่

            ทีมโฆษกอัยการวิสัชนาตรงนี้ว่า...

            "ข้อเท็จจริงในคดี มีผู้ต้องหา ๒ คน ที่เกี่ยวข้องกับนายสกุลธร โดยอัยการได้สั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสองในความผิดฐานเรียกรับสินบน

                ส่วนนายสกุลธร 'อยู่ในฐานะพยาน'

                แต่เมื่อปรากฏข้อมูลในศาลว่า 'นายสกุลธรอาจไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย พนักงานสอบสวนก็ได้ตั้งสำนวนอีก ๑ คดี'

                กำลังดำเนินการสอบสวนพฤติการณ์ของนายสกุลธรมีความผิดฐานให้สินบนหรือไม่ ซึ่งอัยการยังไม่สามารถเข้าไปดำเนินการใดๆ ได้"

            ครับ อัยการปิดประตูบ้านแล้ว....

            เป็นหน้าที่ตำรวจ ต้องไปตั้งสำนวนเรื่องสินบนทำคดีใหม่ต่างหากอีก ๑ คดี

            ไปสอบสวนเรื่องการให้สินบนของนายสกุลธร "ในฐานะผู้ต้องหา" ให้ได้ความ

            เสร็จแล้ว ส่งสำนวนสอบสวนให้อัยการตรวจสอบทำความเห็น ในขั้นตอนนี้แหละ อัยการก้าวก่ายได้ตามหน้าที่ว่าสมบูรณ์แล้ว หรือยังจะบอกให้สอบเพิ่มเติมประเด็นไหน ตรงไหน ก่อนจะสั่งฟ้อง-สั่งไม่ฟ้อง

            เห็นมีข่าวว่า ทางกองปราบฯ ตั้งคณะทำงานในเรื่องนี้แล้ว ฉะนั้น เชิญท่านทั้งหลาย เปลี่ยนเป้าจากอัยการไปที่กองปราบฯ เถอะ

            เอาละ ขอแถมท้ายด้วยเรื่องของผมหน่อย.....

            เรื่องโรงเรียนร่มเกล้าปางตอง ในโครงการพระราชดำริ ที่แม่ฮ่องสอน นั่นแหละครับ

            ตามที่ผมบริจาคไป ๒ แสน สร้างโรงครัวใหม่สำหรับนักเรียนกินนอนประมาณ ๑๒๐ คน และผู้ทราบข่าว ก็โอนเงินสมทบ เป็นค่าอาหารเด็กนั้น

            ล่าสุด ทาง ผอ.ปุรเชษฐ์ ไลน์มาบอก ยอดเงินบริจาค  ณ วันที่ ๒๓ พ.ย.๖๓ รวมทั้งหมด ๗๘๙,๕๘๐ บาท

            โรงครัวที่จะสร้างใหม่แทนเก่าที่ผุพังนั้น ขณะนี้ ลงมือทำแล้ว ผอ.ปุรเชษฐ์ปรึกษาว่า

            จะขอนำเงินที่เหลือซื้อรถไถนาเดินตามได้ไหม ผมยังไม่ได้ตอบ เพราะตามตกลงค่าก่อสร้างโรงครัว บอกว่า ๒ แสน ผมก็จ่ายแล้ว

            ส่วนที่ท่านทั้งหลายโอนไป เป็นส่วนค่าอาหารประจำวันนักเรียน แต่ ผอ.คงเห็นเงินเยอะพอควร จะเอาไปซื้อรถไถนา ผมจึงเรียนให้ท่านทราบกันก่อน

            ส่วนใบอนุโมทนานั้น ท่านติดต่อกับ ผอ.โดยตรงที่เบอร์ ๐๘-๑๗๖๔-๖๗๖๓ นะครับ สำหรับผมเองก็ยังไม่ได้รับเหมือนกัน

            วานซืน "คุณมาริสา" นำเงิน "กองทุนบูรพ์พละกาพย์เพื่อการกุศล" LasVegas,NV.USA.มามอบอีก ๑๐,๐๐๐  บาท ไม่พบผม แต่ฝากเลขาฯ ไว้

            บอกว่าสมทบช่วยเหลืออาหารกลางวันให้แก่โรงเรียนร่มเกล้าปางตองฯ

            พอดีรายการโรงเรียนนี้ ผมปิดโครงการไปแล้ว เมื่อคุณมาริสาฝากความไว้ว่า หรือสุดแต่ผมเห็นสมควร

            ผมเห็นสมควรกับ "มูลนิธิหออภิบาลสงฆ์ หลวงปู่มั่น  ภูริทัตโต" รพ.ศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น  ได้โอนในนามกองทุนบูรพ์พละกาพย์ฯ ไปเรียบร้อยแล้ว อนุโมทนาตามนี้นะครับ

                เอาละ พรุ่งนี้คุยต่อ......

                ไปไหน-มาไหนสวมหน้ากากอนามัยกันไว้ด้วยเน้อ เป็นห่วง.

           

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"