การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 กลับมาเขย่าขวัญไทยอีกครั้ง หลังจากหลายเดือนที่ผ่านมาเริ่มหายใจหายคอได้ การท่องเที่ยวภายในประเทศเริ่มกลับมาฟื้นตัว รัฐบาลประกาศวันหยุดยาวเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ให้คนนำเงินออกมาใช้จ่าย สถานที่พัก โรงแรม ถูกจองจนเต็ม ผู้คนที่ปฏิบัติตามกฎอัดอั้นมานาน การใช้จ่ายเงินสะพัด มีเงินหมุนเวียนไปยังผู้ประกอบการ พ่อค้าแม่ค้าในพื้นที่ต่างๆ ทำให้เศรษฐกิจสามารถขับเคลื่อนไปได้
ยิ่งใกล้เทศกาลปีใหม่ที่ผู้คนจะเดินทางท่องเที่ยว หรือกลับภูมิลำเนาต้องสะดุด หรือแม้กระทั่งวันที่ 10-13 ธ.ค.ที่รัฐบาลประกาศเป็นวันหยุดยาวซึ่งเป็นอีกช่วงหนึ่งที่เม็ดเงินจะหมุนเวียนไปยังผู้ประกอบร้านค้า ยิ่งช่วงเข้าฤดูหนาว ผู้คนต่างวางแผนเดินทางท่องเที่ยว โดยเฉพาะภาคเหนือ แต่ต้องมาสะดุด เมื่อมีเพียงกลุ่มคนที่เห็นแก่ตัว ข้ามไปทำงานที่โรงแรมซึ่งเป็นแหล่งรวมสถานบันเทิงที่ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นที่ทราบกันสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดของเมียนมาอยู่อันดับต้นๆ ของอาเซียน เมื่อติดเชื้อแล้วลักลอบเข้าประเทศมาตามช่องทางธรรมชาติ ไม่เป็นไปตามกฎที่ต้องกักตัวตรวจหาเชื้อโควิด นอกจากนี้ยังมีขบวนการพาลักลอบเข้าตามแนวชายแดน ทำให้ไทยต้องกลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง เมื่อการสอบสวนโรคพบนำเชื้อแพร่ไปยังผู้อื่น
กรมควบคุมโรค แต่ละจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต้องเร่งทำงานแข่งกับเวลาหาไทม์ไลน์การเดินทางของผู้ติดเชื้อ จุดที่มีความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงต่ำ เข้าสู่กระบวนการสอบสวนคัดกรองโรค เพื่อไม่ให้แพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะสามารถติดตามบุคคลที่อาจเข้าข่ายความเสี่ยงมาตรวจได้ทุกคน เพราะที่ผ่านมา "ไทยชนะ" ก็เริ่มหย่อนยาน มีเพียงไม่กี่คนที่ยังพึงปฏิบัติ ผลจากความมักง่ายพังมาตรการควบคุมโรคครั้งนี้ทำให้มีผู้ติดเชื้อในไทย
ยิ่งน่าวิตก เมื่อกลุ่มผู้ติดเชื้อในไทยล่าสุดเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ติดเชื้อเจาะพื้นที่ไข่แดงคือเมืองหลวง มีผู้ติดเชื้อแล้วหลายคน นี่เฉพาะที่ตรวจพบแล้ว ที่ยังตรวจไม่พบอีกเท่าไหร่ โดยเฉพาะสถานบันเทิง นักท่องราตรีเที่ยวกันย่ำรุ่ง การสวมแมสเข้าสถานบันเทิงไม่ต้องพูดถึง ถึงแม้นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. จะออกมายืนยันว่า ไม่ใช่การแพร่ระบาดรอบสอง เป็นการติดเชื้อมาจากต่างประเทศ ยังคงสามารถรับมือได้ แต่ก็ไม่สามารถไว้วางใจได้ เมื่อพบว่ายังมีคนไทยทำงานในสถานที่เดียวกันกับกลุ่มหญิงสาวที่นำเชื้อเข้ามาแพร่ระบาด เฉพาะตัวเลขที่สามารถตรวจสอบได้ก็กว่า 200 คน คนที่ลักลอบเข้าไปอีกจำนวนเท่าไหร่ ถึงแม้จะมีผู้แจ้งความประสงค์เดินทางกลับประเทศอย่างถูกต้อง แต่ยังมีอีกไม่น้อยที่ลักลอบเข้าตามแนวชายแดนทุกวัน
รัฐบาลได้มอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้รับผิดชอบเฝ้าระวังตรวจสอบการลักลอบเข้าประเทศโดยผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นตัวนำเชื้อโควิด-19 เข้ามาระบาดให้ผู้บริสุทธิ์ "บิ๊กปั๊ด" พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้มอบหมายให้ "บิ๊กเด่น" พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง เป็นแม่งานสกัดการลักลอบเข้าประเทศทั้งของขบวนการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้าประเทศ และนำคนไทยเข้าประเทศตามช่องทางธรรมชาติ
"บิ๊กเด่น" พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ได้มีวิทยุในราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เลขที่ 0007.33/3749 ถึง ผบช.น. ภ.1-9 สตม. และ ตชด. เฝ้าระวังและตรวจสอบการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตามแนวชายแดนอย่างเข้มข้น และให้เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ในการตั้งจุดตรวจ จุดสกัดในพื้นที่ตอนใน เพื่อเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย รวมทั้งให้การสนับสนุนทีมสอบสวนโรคในการติดตามผู้ต้องสงสัย ผู้สัมผัส หรือผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
1.ให้ ภ.2-9 บช.ตชด. และ สตม. เพิ่มความเข้มงวดกวดขัน ระดมสรรพกำลังในการป้องกันปราบปรามการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองตามแนวชายแดนอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะแนวชายแดนด้านที่ติดกับประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างรุนแรง 2.ให้ บช.น. และ ภ.1-9 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาตั้งจุดตรวจ จุดสกัด เพื่อป้องกัน เฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในพื้นที่ตอนใน โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ให้ชัดเจน 3.ให้ บช.น. และ ภ.1-9 สนับสนุนเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในการสอบสวนโรคและติดตามผู้ต้องสงสัย หรือผู้สัมผัส หรือผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยให้นำการสืบสวนทางเทคนิค หรือเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเหมาะสม มาใช้ในการสืบสวนเพื่อสนับสนุนเจ้าหนักงานควบคุมโรคติดต่อให้ได้ข้อเท็จจริงถึงพฤติการณ์ของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และกลุ่มเสี่ยงที่สัมผัสผู้ติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4.การดำเนินการตามข้อ 1-3 ให้มอบหมาย รอง ผบช.ควบคุม กำกับดูแลการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด
“บิ๊กเด่น” สั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด เฝ้าระวังจุดเสี่ยงลักลอบเข้าประเทศตามช่องทางธรรมชาติ พร้อมทั้งสถานประกอบการ และสืบสวนสอบสวนขบวนการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้าประเทศ และให้ทุกจังหวัดเพิ่มตำรวจสอบสวนโรคเพราะคนเหล่นั้นมักจะปกปิดข้อมูล ให้ ตชด.และ สตม.หาข้อมูลจุดเสี่ยงที่มีการระบาดของโรค พร้อมทั้งสืบสวนสอบสงนติดตามจับกุมขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวและพาคนข้ามฝั่งตามช่องทางธรรมชาติ บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ทั้ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.ควบคุมโรค
ถึงแม้ไทยจะติดอันดับต้นๆ ของโลกในการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 จากมาตรการที่เข้มข้น ทั้งล็อกดาวน์ ปิดเมือง ปิดประเทศ โดยเฉพาะความร่วมมือร่วมใจของคนทั้งชาติปฏิบัติตามมาตรการที่ภาครัฐกำหนด จนฝ่าวิกฤติโรคร้ายมาได้ สามารถกลับมาดำรงชีวิตตามปกติ ทั้งที่ชาวโลกกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก ยอดผู้ติดเชื้อมากกว่า 68 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตแล้ว 1.5 ล้านคน ขณะที่ไทยไม่มีผู้ติดเชื้อในประเทศมานาน มีเฉพาะที่ติดเชื้อมาจากต่างประเทศ เข้ารักษาตัวตามที่รัฐจัดสามารถควบคุมการแพร่นะบาดได้
การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดเพียงใด แนวชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตร ไม่สามารถตรวจจับได้ทุกคน คนพยายามกระทำความผิดย่อมนำเจ้าหน้าที่อยู่ก้าวหนึ่งเสมอ จิตสำนึกเท่านั้นถึงจะช่วยกันผ่านวิกฤติและปฏิบัติตัว สวมแมสทุกครั้งที่ออกสู่ที่สาธารณะผู้คนพลุกพล่าน หมั่นล้างมือก็จะช่วยเซฟตัวเองและสังคมได้.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |